ขณะนี้เป็นธรรม
สนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ
วันที่ 17 มิถุนายน 2550
ถอดเทป โดย
คุณย่าสงวน สุจริตกุล
คุณกุลวิไล ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมแล้ว เรารู้ความจริงหรือยัง ที่ท่านอาจารย์ถามพวกเรา อยากขอให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความที่ว่าขณะนี้เป็นธรรมแล้ว เรารู้ความจริงหรือยัง
อาจารย์ ขณะนี้มีอะไร หรือไม่มีอะไรเลย มีแล้วสิ่งที่มีนั้นเป็นอะไร ควรรู้ควรเข้าใจให้ถูกต้อง หรือว่าควรจะผ่านไป มีก็มีไปตั้งแต่เกิดจนตาย ก็มีไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ว่าถ้าจะเป็นความรู้ เราควรจะรู้อะไร ควรรู้สิ่งที่มีกำลังปรากฎให้รู้ หรือว่าไปรู้อย่างอื่น แล้วก็ไม่รู้สิ่งที่ปรากฎ
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เป็นความละเอียดที่จะเข้าใจว่า ถ้าไม่มีสภาวธรรมที่กำลังปรากฎขณะนี้ จะมีเรา จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะมีโลก จะมีใครหรือเปล่า ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น เกิดอีกกี่ชาติก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น ก็เป็นความไม่รู้ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็มี สำหรับให้ไม่รู้ จนกว่าจะมีผู้รู้และสามารถจะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี
เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังได้เข้าใจถูก ไม่เดือดร้อนใช่ไหมคะ เพียงแต่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งที่มีในขณะนี้ ความจริงคืออะไรหรือใครเป็นทุกข์ ใครเดือดร้อนที่จะรู้ ทั้งๆ ที่สิ่งนี้ก็ปรากฎ ไม่ต้องไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพียงแค่ฟัง แล้วพิจารณาในสิ่งที่กำลังฟัง ว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าฟังแล้วต้องเชื่อ แต่ว่าความจริงเป็นสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังแล้วจะเข้าใจความจริงนี่อีกมากน้อยเท่าไร ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ความจริงนี้ก็จะเป็นความจริงตลอดไป จะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนแสนโกฎิกัปป์มาแล้ว และข้างหน้าอีก แม้ในขณะนี้ ชาตินี้มีความสุขมากไหมคะ ไม่ค่อยเท่าไร ชาติก่อนละคะ จะมีความสุขมากหรือมีความทุกข์มาก ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่เรื่องราวของชาตินี้สำคัญกว่าชาติก่อนใช่ไหมคะเพราะแม้ว่าชาติก่อน ก็ต้องมีเห็น ก็ต้องมีเรื่องราวต่างๆ ก็ต้องมีคนที่รักที่ผูกพัน มีญาติ มีมิตรสหาย มีคนที่เราไม่อยากจาก แต่ก็จากแล้ว ไม่จากก็ไม่ได้ แล้วก็มีชาติใหม่ซึ่งกำลังจะเป็นชาติเก่า แล้วเราก็จะลืมหมด ว่าชาตินี้เราได้รู้จักใครที่ไหนยังไง ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้โดยที่ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเมื่อมีโอกาสที่เพียงฟังแล้วเข้าใจๆ ขึ้นๆ มีแต่ประโยชน์ ยังไม่เห็นโทษเลย ของการที่เราสามารถจะเข้าใจสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ก่อนฟังมีใครเคยรู้ไหมคะว่า นี่เป็นธรรมะเท่านั้น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์เลย แต่มีจริงๆ และธรรมที่มีจริงนี้ จริงเมื่อไร เมื่อปรากฎให้รู้ ถ้าไม่ปรากฏแล้ว เราจะไปรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้ยังไง เราก็เพียงคิด แต่ลักษณะนั้นก็ไม่ได้ปรากฎ แต่ ณ บัดนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฎจริงๆ จะรู้หรือไม่รู้ จะฟังหรือไม่ฟัง จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็แล้วแต่ว่าจะเห็นประโยชน์ หรือว่าไม่เห็นประโยชน์
แต่ให้ทราบว่า ความจริงก็คือว่า ตั้งแต่เกิดมาก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมนี้แม้สภาพธรรมจะมีก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม มีตั้งแต่เกิดเลยนะคะ พอเห็นก็มีแล้ว ได้ยินก็มี ได้กลิ่นก็มี ลิ้มรสก็มี คิดนึกก็มี เพราะฉะนั้นเป็นสภาวธรรมที่มีแต่ไม่เคยรู้เลย แล้วก็เริ่มที่จะรู้ว่า ความไม่รู้นี้มีจริงหรือเปล่า มีจริงใครไม่รู้ ตอนนี้หาตัวไม่เจอ เพราะว่าเป็นความไม่รู้ เป็นสิ่งไม่รู้ ความไม่รู้นี้ มีใครบอกว่ากำลังไม่รู้ คือลักษณะที่ไม่รู้กำลังมี ไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฎ
ได้ยินคำว่า “อวิชชา” .. “ไม่รู้” “วิชชา” คือ “รู้” “อวิชชา” นี่ไม่น่าจะไม่รู้เลย ในเมื่อสิ่งนี้ก็กำลังปรากฎใช่ไหมคะ แต่เพราะ “อวิชชา” มีจริง จึงทำให้ปิดบังลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่กำลังปรากฎ ปิดแล้วนะคะ เมื่อปิดแล้วก็ทำให้ติดข้อง เพลิดเพลินเหลือเกินในสิ่งที่ปรากฎ เพราะไม่รู้ค่ะ เพราะฉะนั้น จะมองเห็นความจริงได้ว่าเวลาที่ฟังพระธรรมแล้ว ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ รู้ความจริง แล้วจะได้รู้ว่า ไม่รู้นี้มากมายสักแค่ไหน ขณะนี้เห็นคน ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท ปรากฎเมื่อจิตเห็นแล้วดับ จิตเห็นก็ดับด้วย ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นปรากฎ สั้นมาก
เพราะฉะนั้น เวลาที่มีปัญญาที่รู้ความจริงเพิ่มขึ้นก็จะสามารถเข้าใจความหมายของคำว่า “นิมิต” เพราะสิ่งที่ปรากฎเหมือนไม่ได้ดับเลย เหมือนกำลังปรากฎ แท้จริงแล้ว เพราะจิต เจตสิก สภาพธรรม แม้รูปก็เกิดดับสืบต่อเร็วมาก ไม่ปรากฎการดับเลย เหมือนว่ามีอยู่ยั่งยืนตลอดเวลา นั่นคือ “นิมิต”ของสิ่งที่เกิดดับ เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความไม่รู้ แล้วก็ติดข้อง พอใจ“นิมิต” เพราะไม่รู้ความจริงไม่รู้ตัวสภาวธรรม จริงๆ ซึ่งมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป
คุณกุลวิไล แสดงว่าตลอดเวลาทั้งหมดเป็นธรรม ถ้าเราไม่ได้ศึกษาพระธรรม และไม่ได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับสภาพธรรมที่มีจริง เราก็อยู่ในโลกของบัญญัติ ผู้คนมากมายเลย ก็ดูเหมือนว่า ไม่เห็นว่าจะไม่มี เป็นสิ่งที่เที่ยงและเป็นสุขและเป็นตัวตน เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดง แสดงถึงสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ก็เลยทำให้เราค่อนข้างที่จะศึกษาเพื่อให้เห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริง และท่านอาจารย์ก็เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่มีปรมัตถ์ บัญญัติไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันนี้ไม่มีเลย ปรมัตถธรรมอันนั้นก็เป็นสิ่งที่เราเข้าใจผิด