ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๙๑] ลตา

 
Sudhipong.U
วันที่  22 พ.ย. 2567
หมายเลข  48960
อ่าน  53

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “ลตา

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

ลตา อ่านตามภาษาบาลีว่า ละ - ตา แปลว่า เถาวัลย์ ในที่นี้จะนำเสนอในความหมายที่แสดงถึงความเป็นจริงของอกุศลธรรมประการหนึ่ง คือ ตัณหา ซึ่งเป็นความติดข้องยินดีพอใจ ความอยากความต้องการ เปรียบเหมือนเถาวัลย์ เพราะเป็นสิ่งที่รวบรัดไว้ พันไว้รอบ ตามข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ ดังนี้

ตัณหาที่ชื่อว่า ลตา (เหมือนเถาวัลย์) เพราะเป็นเหมือนเถาวัลย์ โดยความหมายว่า พันไว้รอบ

ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก กามชาดก มีข้อความที่แสดงถึงโทษของตัณหา ดังนี้

“ไม่ควรตกอยู่ในอำนาจตัณหา เพราะตัณหานี้ เมื่อเจริญขึ้น (เกิดมากขึ้น) ย่อมไม่ปล่อยให้พ้นจากอบายทั้ง ๔ (นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน) ไปได้


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะแสดงโดยนัยใดก็ตาม ย่อมเป็นเครื่องเตือนที่ดีสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตอยู่อย่างแท้จริง เพื่อจะได้รู้ว่าตนเองเต็มไปด้วยกิเลสมากมายแค่ไหน เพื่อประโยชน์ในการขัดเกลา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละคนที่เกิดมา ล้วนเต็มไปด้วยกิเลสด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะตัณหา หรือโลภะความติดข้องยินดีพอใจ ทั้งในภายในคือในตนเอง ซึ่งมีมากเหลือเกิน ได้แก่ รักตัวเองทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปด้วยความรักตัวเองและทำทุกอย่างก็เพื่อตัวเอง ติดข้องในภายในยังไม่พอ ยังติดข้องในภายนอกอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี สิ่งที่กระทบสัมผัสกายก็ดี ที่ประสบทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มีความอยากมีความปรารถนา มีความต้องการไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ถูกเกี่ยวโยง ถูกรวบรัด ยึด ผูกพันอย่างแน่นหนากับรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ทำให้เห็นได้ว่าเป็นผู้ถูกความติดข้องยินดีพอใจรึงรัด รวบรัด ผูกพันไว้ เกี่ยวประสานไว้ไม่ให้พ้นไปได้เลย พันไว้รอบด้าน และไม่ยอมปล่อยให้เป็นกุศลด้วย เพราะเหตุว่าขณะที่อกุศลเกิดนั้น กุศลใดๆ จะเกิดไม่ได้เลย

ปกติในชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น อกุศลย่อมเกิดมากกว่ากุศล จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงก็เป็นอย่างนี้ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่ามีอกุศลเกิดมากกว่ากุศล อาจจะสำคัญผิดด้วยซ้ำไปว่ามีกุศลมาก ตามความเป็นจริงแล้วอกุศลเกิดขึ้นตามการสะสมของแต่ละบุคคลที่ได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน โดยเฉพาะตัณหา ซึ่งเมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้วได้แก่ โลภเจตสิก เป็นความติดข้องยินพอใจในสิ่งต่างๆ ติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เป็นต้น ซึ่งเป็นวัตถุกามในชีวิตประจำวัน ตัณหาย่อมสะสมมากขึ้นทุกครั้งที่โลภมูลจิตคือจิตที่มีโลภะเป็นมูลเกิดขึ้น เมื่อมีเหตุมีปัจจัยพร้อมก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และถ้าสะสมมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ย่อมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ ลักขโมยสิ่งของของผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนได้ ซึ่งในขณะที่กระทำอกุศลกรรมนั้น ตนเองย่อมเดือดร้อนก่อนคนอื่น เพราะขณะนั้นได้สะสมอกุศลกระทำอกุศลกรรมซึ่งเป็นการสร้างเหตุที่ไม่ดี และเมื่ออกุศลกรรมที่ได้กระทำไปแล้วถึงคราวให้ผล ก็ทำให้ตนเองประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ มีการเกิดในอบายภูมิ เป็นต้น อันเป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้วนั่นเอง ไม่มีใครทำให้เลย จะไปโทษใครไม่ได้อย่างเด็ดขาด กล่าวได้ว่าเดือดร้อนทั้งในขณะที่กระทำและเดือดร้อนทั้งในขณะที่ได้รับผลของอกุศลกรรม เนื่องจากว่าอกุศลกรรม ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น จะให้ผลเป็นสุขไม่ได้เลย

เป็นที่น่าพิจารณาว่า ถ้าถูกตัณหาครอบงำแล้ว จะให้ทำอะไรๆ ก็ทำ ซึ่งเป็นอกุศลของตนเองที่มีอยู่ในใจ เป็นเหมือนกับผู้คอยสั่งให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ครอบงำให้แสวงหา ให้ทำสิ่งต่างๆ ผู้นั้นก็เป็นไปตามอำนาจของตัณหา เป็นทาสของตัณหาโดยตลอด ถูกตัณหาพันไว้โดยรอบจริงๆ ยากที่จะพ้นไปได้ ส่วนบุคคลผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถึงแม้ว่าตนเองจะยังมีตัณหาความติดข้องต้องการอยู่ก็ตาม เมื่อฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ย่อมจะมีความรู้ความเข้าใจถึงโทษภัยของอกุศลธรรม สามารถค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ สามารถรู้ลักษณะของตัณหาว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และปัญญานี้เองเป็นธรรมที่จะดับตัณหาได้อย่างเด็ดขาด เพราะที่ใดมีปัญญา ที่นั่นจะไม่มีตัณหาเลย หรือ ขณะที่เข้าใจถูกเห็นถูก ตัณหาจะอยู่ตรงนั้นไม่ได้ เพราะเหตุว่า กุศลกับอกุศลเกิดร่วมกันไม่ได้

การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ไม่คิดต่อเติมเอง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ อดทนที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไปด้วยความไม่ท้อถอย ถ้าในชีวิตประจำวันไม่มีการฟังพระธรรม ไม่สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเลย ก็จะเป็นโอกาสให้อกุศลธรรมทั้งหลายมีความติดข้อง ความไม่รู้ เป็นต้น เพิ่มมากยิ่งขึ้นจนยากที่จะขัดเกลาให้เบาบางลงได้ ดังนั้น หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่เป็นไปเพื่อขัดเกลาละกิเลสทั้งหลายอย่างแท้จริง และเป็นหนทางที่จะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 22 พ.ย. 2567

การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ไม่คิดต่อเติมเอง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ