ตราบใดที่ยังเป็นเราอกุศลหมดไม่ได้

 
เมตตา
วันที่  24 พ.ย. 2567
หมายเลข  48976
อ่าน  253

อริย (ผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส, ประเสริฐ) + สจฺจ (ความจริง) + ธมฺม (ธรรม)

"ธรรมคือความจริงที่ทำให้เป็นพระอริยะ ความจริงอย่างประเสริฐ"

[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 281
๔. สัจจวิภังค์

สุตตันตภาชนีย์

[๑๔๔] อริยสัจ ๔ คือ

๑. ทุกขอริยสัจ

๒. ทุกขสมุทัยอริยสัจ

๓. ทุกขนิโรธอริยสัจ

๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ


คุณศรีสอางค์: ท่านอาจารย์เมตตาย้ำแล้วย้ำอีกว่า ขณะนี้เสียงปรากฏ ขณะนี้อะไรที่ปรากฏตรงนี้ต่างหาก

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีพื้นฐานที่จะเข้าใจถูกต้องมั่นคงขึ้น แต่ไม่ได้หวังว่า จะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง เป็นเหตุให้เกิดกุศลที่เป็นบารมีในขณะที่มีปัจจัยให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ก็มีการที่จะเห็นโทษของอกุศล และก็สามารถที่จะมีความมั่นคงว่า เพราะยังเป็นเรา

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังเป็นเราอกุศลหมดไม่ได้ ต้องหมดความเป็นเราก่อน จึงจะค่อยๆ รู้ว่าอกุศลที่สะสมมานอกจากความเป็นเรา ยังมีอีกมากมายที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ในแต่ละชาติ จนกว่าเหตุจะสมบูรณ์เมื่อไหร่ สิ่งที่เกิดเพราะเหตุนั้นเพราะปัจจัยนั้นเกิดไม่ได้ เมื่อปัญญาถึงระดับที่ดับกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดอกุศลนั้นๆ เป็นลำดับขั้น

จะไม่ให้รักลูกเป็นไปได้ไหม? แต่ขณะที่รักลูกสามารถรู้ได้ไหมว่า เป็นธรรม ตรงนี้เลยที่จะนำไปสู่การไม่มีเราในวันหนึ่ง โดยประจักษ์แจ้งความจริง แต่ถ้าขณะที่กำลังรักลูกแล้วไม่มีความเข้าใจเลยว่า เป็นธรรม แล้วจะละความติดข้องในลูกว่า เป็นลูกได้อย่างไร จนกว่าจะเป็นธรรม ลึกไหม?

คุณศรีสอางค์: ลึกมากค่ะ แม้ขนาดท่านอาจารย์ได้แสดงธรรมบ่อยๆ ได้สนทนาธรรมบ่อยๆ ทั้งย้อนหลังมาแล้วเท่าไหร่ ท่านอาจารย์ก็เน้นย้ำอยู่ตรงนี้ เรายังถอนไม่ได้เลย แล้วก็ต้องเป็นเรารักลูก เป็นเราตลอดเวลา

ท่านอาจารย์: ก็เป็นแต่ละชาติของแต่ละคน จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มเข้าใจ ไม่ว่าจะรักลูก ขณะนั้นปัญญามีไหมที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นอะไรที่เป็นธรรม ค่อยๆ ละเอียดขึ้นๆ ไม่อย่างนั้นดับไม่ได้

โลกของอัตตา อยู่มานานเท่าไหร่แล้ว เต็มไปด้วย เกิดมาก็มีต้นไม้ บนสวรรค์ก็มีโน่นนี่ พรหมโลกก็มีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เคยขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความเป็นตัวตน กว่าจะไม่มีสิ่งนั้น เกิดแล้วดับแล้ว ไม่เหลืออะไรเลยทุกอย่างที่เกิดดับ ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะละความติดข้องได้ และไม่สามารถจะไปทำให้เกิดอย่างนี้ได้เลย นอกจากปัญญาที่จะค่อยๆ มีเหตุให้ไม่ลืมว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เกิดหรือยัง?

ฟังไปเถิด ฟังไปถึงขณะที่ไม่ลืม ขณะนี้เป็นธรรม เพราะอะไร? ขณะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่า จ ะคิดนึกเอาเอง พยายามเอาเอง ไม่ใช่เลย แต่ต้องเข้าใจว่า ธรรมมีอะไรบ้าง? ธรรมที่เป็นฝ่ายรูปธรรม กับธรรมที่เป็นฝ่ายนามธรรม

แม้นามธรรม ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่ไม่ใช่กุศล ธรรมที่เป็นวิบาก เป็นการที่จะรู้ว่า แม้สิ่งนี้ไม่ได้ประจักษ์ เพราะสิ่งที่ประจักษ์ต้องเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามกำลังการสะสมของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกันเลย โดยความเป็นอนัตตา นี่ต่างหาก

ความเข้าใจขึ้นเท่านั้นที่จะละได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจความละเอียดอย่างนี้เลย ไม่มีทางละ เพราะต้องละจากเดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้ เป็นค่อยๆ รู้ จนประจักษ์แจ้งหมดไม่เหลือ คือทุกอย่างที่เคยไม่รู้ ก็รู้โดยการประจักษ์แจ้งโดยความเลือกไม่ได้ เจาะจงไม่ได้ หวังไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย

ค่อยๆ ละความต้องการลงไปทีละนิดทีละหน่อย แม้ยังไม่ได้ถึงขั้นที่จะเป็นขั้นต่อไป แต่ความเข้าใจขั้นนี้ก็ต้องมั่นคง ปริยัติ รอบรู้โดยสัจจบารมี ขันติบารมีวิริยบารมี อธิษฐานบารมี เนกขัมมบารมี

เพราะฉะนั้น ไม่สงสัยเลยว่า ทำไมจึงต้องมีบารมี เพราะบารมีไม่ใช่อกุศล

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 24 พ.ย. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ