เรียนถามเรื่องพุทธพยากรณ์ค่ะ
เพื่อนๆ คงกำลังสนทนาธรรมที่มูลนิธิกัน อนุโมทนาด้วยค่ะ ไม่มีโอกาสได้ไปแต่กำลังอ่านหนังสือเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธองค์ค่ะ อยากทราบเรื่องพุทธพยากรณ์ ๑๖ ประการที่ทรงแสดงแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า มีปรากฏในพระไตรปิฎกหรือเปล่าคะ หรือเป็นเพียงเรื่องที่ผูกต่อเติม ขอบคุณค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ และได้คลิกอ่านพุทธทำนายแล้วค่ะ ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ
รบกวนอีกนิดค่ะ อ่านพุทธพยากรณ์อนาคตแล้วทำให้คิดว่า คนไม่ดีทำไมถึงได้ดี เล่าค่ะ และในยุคนั้นคนดีกลับได้รับการทำไม่ดีตอบ แล้วคนดีเหล่านั้นจะทำอย่างไร หรือต้องอดทนๆ
คำตอบอยู่ในพระพุทธพจน์ซึ่งทรงแสดงโดยละเอียดลึกซึ้งยิ่งครับ ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ อกุศลเกิดกับคนที่เราคิดว่าเป็นคนดี ก็ได้ หรือกุศลเกิดกับคนที่เราคิดว่าเป็นคนไม่ดีก็ได้ อันที่จริงก็มีเพียงแต่สภาพของอกุศลธรรมที่เกิดมากขึ้นๆ และกุศลธรรมก็เกิดน้อยลงๆ เมื่อล่วงเลยกาล สมบัติไป อย่างในยุคนี้ก็ล่วงเลยอายุของพระพุทธศาสนามาเกินครึ่งแล้ว กุศลธรรมก็เริ่มเสื่อมลงๆ อย่างเห็นได้ชัดในสังคมปัจจุบัน ฉะนั้น หน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดี คือศึกษาพระธรรมเพื่อให้เข้าใจถูก เห็นถูก ว่าทุกอย่างเป็นธรรม แล้วปัญญาจะช่วยขัดเกลาอกุศล และละคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามเหตุปัจจัย เพราะจริงๆ แล้วก็ไม่มีใคร และก็ไม่มีเราที่จะไปทำอะไรให้เป็นอย่างใจเราได้เลยครับ
มหาบพิตร ผลของสุบินข้อนี้ จักไม่มีในชั่วรัชกาลของมหาบพิตร ในชั่วศาสนาของตถาคต แต่ในอนาคต เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ในรัชกาลของพระราชาผู้กำพร้า ผู้มิได้ครองราชย์โดยธรรม และในกาลของหมู่มนุษย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อกุศลธรรมลดน้อยถอยลง อกุศลธรรมหนาแน่นขึ้น ในกาลที่โลกเสื่อม
ขอบคุณค่ะ พระราชาผู้กำพร้า มีความหมายเป็นพิเศษหรือไม่ค่ะ
ในข้อความต่อไปมีใจความว่า
พระพุทธองค์ทรงพระกรุณาทำนายผลแห่งสุบินนิมิตรของพระเจ้าโกศลมหาราช
จากข้อความว่า ในรัชกาลของ พระราชากำพร้า ในความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า พระราชาอาจจะกำพร้าทั้งในกุศลธรรม (เพราะไม่ทรงครองราชย์โดยธรรม) และอาจจะกำพร้าในด้านความจงรักภักดีของมหาชน เพราะมหาชนอาจจะได้รับความทุกข์ร้อนจากการปกครองของพระราชาเพราะในกาลที่โลกเสื่อมนั้นเกิดภาวะฝนแล้ง และภัยพิบัติมากมาย มหาชนโดยมากจึงประสบกับความลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีพ มิหนำซ้ำมหาชนก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรมเช่นเดียวกับพระราชา ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้พระราชากำพร้าในมหาชนผู้ตั้งอยู่ในกุศลธรรม (ขาดประชาชนที่ตั้งอยู่ในกุศล) ในประเทศที่พระองค์ปกครองด้วย
สุบินนิมิตรของพระเจ้าโกศล คือ หม่อมฉันเห็นสุบินข้อ ๑ อย่างนี้ก่อนว่า โคผู้ สีเหมือนดอกอัญชัน ๔ ตัว ต่างคิดว่าจักชนกัน พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวง จากทิศทั้ง ๔ เมื่อ มหาชน ประชุมกันคิดว่า พวกเราจักดูโคชนกัน ต่างแสดงท่าทางจะชนกัน บรรลือเสียงคำรามลั่น แล้วไม่ชนกัน ต่างถอยออกไป
พระผู้มีพระภาคทรงทำนายผลของสุบินนิมิตรนั้นว่า ...
ในกาลที่โลกเสื่อม ฝนจักแล้ง และตีนเมฆจักขาด ข้าวกล้าจักแห้ง ทุพภิกขภัยจักเกิด เมฆทั้งหลายตั้งขึ้นจากทิศทั้ง ๔ เหมือนจะย้อยเม็ด พอพวกผู้หญิงรีบเก็บข้าวเปลือกเป็นต้น ที่เอาออกผึ่งแดดไว้เข้าภายในร่มเพราะกลัวจะเปียก เมื่อพวกผู้ชายต่างถือจอบถือตะกร้าพากันออกไปเพื่อจะก่อคันกั้นน้ำ ก็ตั้งเค้าจะตก ครางกระหึ่ม ฟ้าแลบ แล้วก็ไม่ตกเลย ลอยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกันแล้วไม่ชนกัน ฉะนั้น
โคผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ ๔ ตัว อธิบายได้ว่า ดอกอัญชัญนั้นสีม่วงเข้ม สีคล้าย เมฆฝน ที่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่เคลื่อนมาจากทิศทั้ง ๔ ตั้งเค้าขึ้น ให้มหาชนหวังไว้ว่าจะมีพายุฝนเกิด มหาชน ได้แก่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ที่ต่างขะมักขะเม้นทำกิจต่างๆ เพื่อจะได้จะตักตวงประโยชน์จากฝนที่ตั้งเค้าจะตกนั้น บรรลือเสียงคำรามลั่น คือเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบจากกลุ่มก้อนเมฆที่มารวมกัน โคไม่ชนกัน คือกลุ่มก้อนเมฆนั้นไม่ได้มีทีท่าจะเป็นเหตุให้ฝนตกตามที่มหาชนหวังไว้ แต่กลับลอยหายไป
ถ้าอธิบายผิดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะครับ
ข้อ 1 โคหนุ่ม 4 ตัว ตั้งท่าจะวิ่งมาชนกันจากทิศทั้ง 4 แต่แล้วก็ไม่ชนกัน ต่างถอยหลีกออกไป
พุทธพยากรณ์ ในกาลที่ความดีลดน้อยถอยลงความชั่วหนาแน่น เป็นกาลที่โลกเสื่อมถอย ฝนจะแล้ง ทำให้ข้าวกล้าแห้งเกิดทุพภิกขภัย แม้จะมีมหาเมฆ ตั้งขึ้นจากทิศทั้ง 4 ตั้งเค้าจะตก แต่ก็ไม่ตกกลับลอยหาย ไปเป็นเหมือนโคตั้งท่าจะชน กันแล้วไม่ชนฉะนั้น
ข้อ 2 ต้นไม้เล็กๆ แทรกแผ่นดินขึ้นมาได้คืบหนึ่ง ก็ผลิดอกออกผลไปตามกัน
พุทธพยากรณ์ ในกาลที่โลกเสื่อม มนุษย์มีอายุสั้นลง ชนทั้งหลายจะมีราคะกล้า เยาวชนพากันมีเพศสัมพันธ์ มีครรภ์มีครอบครัว ตั้งแต่ยัง แรกรุ่นเป็นเหมือนต้นไม้เล็กๆ ผลิดอกออกผลฉะนั้น
ข้อ 3 แม่โคใหญ่พากันดื่มนมของลูกโค
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล ชนทั้งหลายจะพากัน กระด้างละทิ้งประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ไม่ยำเกรงเคารพนับถือในบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย หาทรัพย์ได้แล้วไม่บำรุงบุพการีทั้งหลาย ผู้ใหญ่ที่แก่เฒ่าหาเลี้ยงตนไม่ได้ ต้องอ้อนวอนลูกหลานเลี้ยงชีพ เป็นเหมือนแม่โคใหญ่ พากันดื่มนมลูกโคฉะนั้น
ข้อ 4 ชนทั้งหลายไม่ใช้โคใหญ่ที่สมบูรณ์แข็งแรง กลับใช้โครุ่นที่กำลัง ฝึกใหม่ๆ โครุ่นเหล่านั้นไม่สามารถพาแอกไปได้ พากันสลัดแอกออก ยืนเฉยอยู่
พุ ทธพยากรณ์ ในอนาคตผู้เป็นใหญ่ปกครองบริหารบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ไม่ แต่งตั้งผู้ใหญ่ที่เป็นบัณฑิต ฉลาดในการยังภาระกิจของชาติให้ลุล่วงไปได้ ฉลาดใน การวินิจฉัยคดีในโรงศาลตรงกันข้ามกลับแต่งตั้งคนหนุ่ม ผู้อ่อนประสบการณ์ ไม่รู้สิ่งที่ ควรไม่ควร ไม่สามารถทำให้ภาระกิจทั้งหลายให้ลุล่วงไปได้ ผู้คนอ่อนประสบการณ์ ต่างพากันทอดทิ้งภาระทั้งหลายที่ได้รับมอบหมาย ความเสื่อมจึงเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง เป็นเหมือนคนจับเอาโครุ่นๆ กำลังฝึก มาเทียบแอก ต่างก็ไม่สามารถพาแอกไปได้ ไม่ เอาโคใหญ่ๆ ที่เคยพาแอกไปได้เทียมฉะนั้น
ข้อ 5 ม้าตัวหนึ่งมีปากสองข้าง ชนทั้งหลายให้หญ้าที่ปากทั้งสอง ม้าก็เคี้ยวกินหญ้าที่ปากทั้ง 2 ข้าง
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล ผู้เป็นใหญ่ปกครองบริหาร บ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม จะแต่งตั้งชนผู้ไม่หนักแน่นในธรรม ไว้ในตำแหน่งวินิจฉัยคดี คนพาลเหล่านั้น ไม่ละอาย ไม่กลัวบาป รับสินบนจากคู่คดีทั้ง สองฝ่ายเป็นเหมือนม้ากินหญ้าด้วยปากทั้งสองฉะนั้น
ข้อ 6 มหาชนขัดถูถาดทองคำมูลค่าเรือนแสน ไปให้สุนัขจิ้งจอกแก่ ถ่ายปัสสาวะใส่ในถาดทองนั้น
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล ผู้เป็นใหญ่ปกครองบริหาร บ้านเมือง ไม่ตั้งมั่นในศีลธรรมรังเกียจกุลบุตร ผู้มีตระกูลใหญ่ผู้ สมบูรณ์ด้วยประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ แล้วไม่แต่งตั้ง ยศตำแหน่งให้ แต่กลับแต่งตั้งให้แก่คนพาลผู้ชั่วช้าทั้งหลายให้เป็นใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้ตระกูลใหญ่ๆ ทั้งหลาย ไม่อาจจะประกอบธุรกิจเลี้ยงชีพอยู่ได้ จึงพากัน ยกกุลธิดาให้แก่คนพาลผู้ต่ำช้า การอยู่ร่วมของคนพาลผู้ต่ำช้ากับกุลธิดาเหล่านั้น เหมือนถาดทองรองปัสสาวะสุนัขจิ้งจอกฉะนั้น
ข้อ 7 บุรุษคนหนึ่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปที่ใกล้เท้านางสุนัขจิ้งจอก ผอมโซตัวหนึ่ง ที่อยู่ใต้ตั่งที่บุรุษหนึ่ง มันกัดกินเชือกนั้น โดยบุรุษนั้นไม่รู้ตัว
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล หญิงสาวจะพากันมั่วสุมส่ำส่อน กับผู้ชาย ลุ่มหลงในอบายมุขทั้งหลายเป็นคนทุศีล นางจะนำทรัพย์ของ สามีที่หามาได้ ไปเสพสุรากับชายชู้ แม้ทรัพย์ที่เตรียมสำหรับลงทุนใน กิจการ ก็นำไปผลาญใช้จ่ายบำเรอตน เป็นเหมือนนางสุนัขจิ้งจอกผอมโซ ที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่นแล้ว หย่อนลงไว้ใกล้ๆ เท้าฉะนั้น
ข้อ 8 ตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมลูกใหญ่ใบหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ประตูเมือง ล้อมด้วยตุ่มเป็น อันมาก ชนทุกชั้นเอาหม้อตักน้ำมาจากทุกทิศ เทใส่ลงในตุ่มที่เต็มแล้ว น้ำก็ไหลล้นออกไป คนทั้งหลายก็ยังเทน้ำลงในตุ่มที่เต็มแล้วอยู่เรื่อยๆ ไม่มีใครสนใจในตุ่มที่ว่างเปล่าเลย
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล โลกจะเสื่อมเมืองเล็กเมืองน้อย จะหมดความหมาย ทรัพย์สำรองของแผ่นดินจะถดถอยมีเหลือเพียง เล็กน้อย ผู้เป็นใหญ่ปกครองบริหารบ้านเมือง จะเกณฑ์ให้ชาวเมืองแสวงหาทรัพย์มาส่ง ให้กับผู้ปกครองเมืองใหญ่ๆ จะไม่มีใครสนใจทรัพย์ที่จะสำรองไว้ในบ้านเรือนของตน เป็นเหมือนกับ การเติมน้ำใส่ตุ่มที่เต็มแล้ว ไม่เหลียวแลตุ่มเปล่าๆ บ้างเลยฉะนั้น
ข้อ 9 สระโบกขรณีสระหนึ่ง เต็มไปด้วยดอกบัว 5 สี ลึกมีท่าโดยรอบด้าน สัตว์ทั้งหลายพากันลงดื่มน้ำในสระนั้นโดยรอบ น้ำที่อยู่ในที่ลึกกลางสระนั้น ขุ่นมัว แต่น้ำในที่ซึ่งสัตว์ทั้งหลายพากันย่ำเหยียบกลับใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล ผู้เป็นใหญ่ปกครองบริหารบ้านเมือง ไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ลุอำนาจด้วยอคติ วินิจฉัยคดีโดยไม่เป็นธรรม มุ่งหวังแต่สินบน ขาดพรหมวิหารธรรมต่อประชาชนทั้งหลาย เป็นผู้หยาบคาย กักขฬะ เบียดเบียนขูดรีดทรัพย์ของประชาชนใน เมืองทั้งหลาย จนประชาชนต้องพากันทิ้งเมืองไปอยู่ในชนบท สร้างถิ่นฐานในที่นั้น ในศูนย์กลางเมืองใหญ่ก็ว่างเปล่า แต่ชนบทกลับเป็นปึกแผ่นเป็น เหมือนน้ำกลางสระโบกขรณีขุ่นน้ำที่ฝั่งโดยรอบกลับใส่ฉะนั้น
ข้อ 10 ข้าวสุกที่คนหุงในหม้อเดียวกัน แต่สุกไม่ทั่วถึงกัน บางส่วนแฉะ บางส่วนดิบ บางส่วนสุกดี
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล เมื่อผู้เป็นใหญ่ปกครอง บริการบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม แม้ข้าราชการ คหบดี ประชาชนก็จะไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม แม้เทวดาทั้งหลายก็เช่นกัน จึงยังฝนให้ตกไม่สม่ำเสมอ บางที่ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมข้าวกล้า เสียหาย บางที่แห้งแล้งฝนไม่ตกจนข้าวกล้าเหี่ยวแห้ง บางที่ฝนตกดี ข้าวกล้าอุดมสมบูรณ์ ข้าวกล้าที่หว่านในแผ่นดินเดียวกันจะเป็น 3 ส่วน เหมือนข้าวสุก ที่หุงในหม้อเดียวกัน มีผลเป็น 3 อย่างฉะนั้น
ข้อ 11 คนทั้งหลายเอาแก่นจันทร์ ราคาเรือนแสน ขายแลกกับนมส้มเน่า
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล เมื่อศาสนาของตถาคตเสื่อมโทรม พวกภิกษุอลัชชีเห็นแก่ปัจจัย จะมีมาก ภิกษุเหล่านั้นจะพากันแสดงธรรม มีตถาคตเพื่อปัจจัย4 ไม่แสดงธรรมเพื่อนำให้ชนทั้งหลายพ้นจากกองทุกข์ มุ่งตรงพระนิพพาน ภิกษุทั้งหลายจะพากันนั่งตามสี่แยก ท้องถนนแสดงธรรมแลกปัจจัย เอาธรรมที่ตถาคตแสดงไว้ มีค่าควรแก่พระนิพพานไปแลกปัจจัย4 จะเป็นเหมือนฝูงชนเอาแก่นจันทร์มีราคาเรือน แสนไปขายแลกนมส้มเน่าฉะนั้น
ข้อ 12 กะโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล เมื่อโลกหมุนไปถึงยุคเสื่อมผู้เป็นใหญ่ ปกครองบริหารบ้านเมือง ไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ไม่แต่งตั้ง ผู้สมบูรณ์ด้วย ประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ แต่ไปแต่งตั้งแก่ผู้ทุศีลไห้เป็นใหญ่ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณทั้งหลายจะ ยากจนลง ถ้อยคำของ พวกทุศีลจะเป็นที่หน้าเชื่อถือทั้งในที่ประชุมของผู้ปกครองแผ่น ดินในที่สาธารณชน แม้ในที่โรงศาล แม้ในที่ประชุมสงฆ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นเหมือน กะโหลกน้ำเต้าจะจมลงฉะนั้น
ข้อ 13 แท่งหินทึบก้อนใหญ่ลอยน้ำได้เหมือนเรือ
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล เมื่อผู้เป็นใหญ่ปกครองบริหาร บ้านเมือง เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม จะแต่งตั้งผู้ไม่มีศีลให้เป็นใหญ่ ชนพวกมีคุณทั้ง หลายจะตกยาก ชนทั้งหลายจะพากันเคารพในพวกที่เป็นใหญ่ฝ่ายเดียว ถ้อยคำของ ชนผู้เป็นบัณฑิตฉลาดในการวิจัย จะไม่เป็นที่น่าเชื่อถือในที่ประชุมของผู้ปกครองแผ่น ดิน ในที่สาธารณชนในที่โรงศาล แม้ในที่ประชุมสงฆ์ก็เช่นกัน ถ้อยคำของภิกษุผู้มีศีล จะไม่หนักแน่นมั่นคง ไม่เป็นที่เชื่อถือ เป็นเหมือนแท่งหินทึบที่ลอยน้ำได้ฉะนั้น
ข้อ14 ฝูงลูกเขียด วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่กัดเนื้อจนขาดเหมือนตัด ก้านบัวแล้วกลืนกิน
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล เมื่อโลกเสื่อมโทรมลงคนทั้งหลายมีราคะจริตแรงกล้า ปล่อยตัวปล่อยใจตามอำนาจกิเลส หลงไหลยอมตนอยู่ในอำนาจของภรรยาผู้อ่อนวัย คนรับใช้บริวารทรัพย์สินเงินทอง จะอยู่ในครอบครองของเธอ เมื่อสามีถามถึงทรัพย์สิน เงินทองว่าเก็บไว้ที่ใด ก็จะถูกภรรยาผู้อ่อนวัยด่าทอด้วยคำหยาบคาย ประดุจทิ่มตำด้วย หยกคือปาก กดขี่ไว้ในอำนาจเหมือนทาสและคนรับใช้ เ พื่อรักษาความเป็นใหญ่ของ ตน เหมือนฝูงลูกเขียดพากันกัดกินฝูงงูเห่าซึ่งมีพิษร้ายฉะนั้น
ข้อ 15 ฝูงพญาหงส์ทอง พากันแวดล้อมกาผู้ประกอบด้วยความชั่ว เที่ยวหากินตามหมู่บ้าน
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล ผู้เป็นใหญ่ปกครองบริหารแผ่นดิน จะเป็นผู้ไม่ ฉลาดในกิจการทั้งปวง แต่งตั้งพวกรับใช้ใกล้ชิดสนิทสนมให้เป็นใหญ่ ผู้ที่สมบูรณ์คุณ ทั้งหลายเมื่อไม่ได้รับการอุ้มชูสนับสนุน ก็จะพากันปรนนิบัติรับใช้ ผู้เป็นใหญ่ทั้งหลาย เหมือนฝูงหงส์ทอง แวดล้อมเป็นบริวารฉะนั้น
ข้อ 16 ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง กัดกินกันอย่างมูมมาม เสือดาว เสือโคร่งเพียงแค่เห็นฝูงแกะอยู่ห่างๆ ก็สะดุ้งกลัว พากันวิ่งหนี หลบซ่อนเข้าในป่ารก
พุทธพยากรณ์ ในอนาคตกาล ผู้เป็นใหญ่ปกครองบริหารบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม จะได้ที่ปรึกษาเป็นคนละโมบ ทุศีล ผู้เป็นใหญ่จะเชื่อฟังถ้อยคำของที่ปรึกษาเหล่านั้น แม้ในที่ประชุมในโรงศาล พวกที่ปรึกษาจะพากันรุกยึดเอาที่ดินทรัพย์สินของชนทั้ง หลาย หากมีผู้ใดโต้เถียงก็จะถูกลงโทษ ถูกข่มขู่ ชนทั้งหลายต่างต้องยอมตาม กลับไป นอนหวาดผวาอยู่บ้านไปตามๆ กัน แม้ภิกษุผู้ชั่วช้าทั้งหลาย ก็จะพากันเบียดเบียนภิกษุ ผู้มีศีลเป็นที่รักตามชอบใจ ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักเมื่อถูกเบียดเบียน ต่างก็พากันเข้าป่า หลบซ่อนอยู่ เป็นเหมือนฝูงเสือเหลืองเสือดาว และเสือโคร่งทั้งหลายพากันหลบหนี เพราะกลัวฝูงแกะฉะนั้น
อันนี้ต้องเริ่มก่อน
ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งแคว้นโกศล ได้ทรงสุบิน นิมิตประหลาดถึง 16 ประการ ทรงเกรงว่าอันตรายจะเกิดกับพระองค์ จึงให้พราหมณ์ ปุโรหิตทำนาย พราหมณ์ได้พยากรณ์ว่าอันตราย จะเกิดมีแก่พระชนม์ชีพของพระองค์ พระอัครมเหสีและราชสมบัติ และได้ทูลแนะนำให้ฆ่าสัตว์บูชายัญสะเดาะเคราะห์ตาม ความเชื่อ ในลัทธิของตน
แต่โชคดีที่พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีได้แนะนำให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ไปทูลถามพระบรมศาสดาก่อนพระองค์ทรงมีพุทธฎีกา ทำนายว่า ผลของพระสุบิน นิมิตจะไม่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล แต่จะเกิดขึ้นในอนาคตกาล ถ้าผู้เป็นใหญ่ ปกครองบริหารบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ชนทั้งหลายย่อหย่อนในศีลธรรม จิตใจเสื่อมคลายจากกุศล ก็จะเกิดเหตุวิปริตผิดธรรมชาติ บ้านเมืองจะเดือดร้อน แล้วทรงพยากรณ์พระสุบินนิมิตเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้