English-Hindi 30 November 2024
English-Hindi 30 November 2024
- (ขอฟังปฏิจจสมุปบาทเพื่อเข้าใจว่าเป็นปัจจัยกันและกันอย่างไร) เป็นความอยากรู้หรือว่าเป็นความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีว่า เป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นแสดงอะไรเป็นปฏิจจสมุปบาทแรก แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละขณะ อายตนะ ปฏิจสมุปบาท ขันธ์ ฯลฯ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี่ยวนี้ ถ้ามีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจปฏิจจสมุปบาท เข้าใจอายตนะ เข้าใจขันธ์ ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มต้นด้วยการเข้าใจสิ่งที่จริงแต่ละหนึ่งเพื่อเข้าใจลึกซึ้งขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
- เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปบาทหมายความว่าอย่างไร ปฏิจฺจ คืออะไร อุปฺปาท คืออะไร ความหมายของปฏิจจสมุปบาทคืออะไร ต้องเริ่มที่จะเข้าใจว่า เรากำลังพูดถึงอะไร รู้คำแปลในภาษาบาลีไหมว่า ปฏิจจสมุปบาท หมายความว่าอะไร ไม่ว่าอะไรที่เกิดต้องอาศัยสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งจึงเกิดขึ้น อุปฺปาท หมายถึงเกิดขึ้นผุดขึ้น และ ปฏิจฺจ หมายถึงสภาพธรรมที่อาศัยธรรมอื่นเกิดพร้อมกัน
- เพราะฉะนั้นถ้าปราศจากสิ่งที่มีจริงจะมีปฏิจจสมุปบาทได้ไหม ต้องเป็นความเข้าใจความจริงที่กำลังมีขณะนี้ว่าคืออะไร อาศัยอะไรเกิดขึ้นแล้วดับ คือเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ไม่ได้เกิดเพราะปัจจัยเดียว ใครรู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงสิ่งที่กำลังมีว่าเป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทคือความเป็นปัจจัยของชาติก่อนๆ มาสู่ชาติปัจจุบันและต่อไปในชาติหน้าโดยมีอะไรเป็นปัจจัยหลักจากชาตินี้ที่เริ่มต้น
- มีขณะแรกของชาตินี้ไหม ขณะแรกของชาตินี้คืออะไร ถ้าไม่มีความไม่รู้เลยจะมีการเกิดได้ไหม ด้วยเหตุนี้จึงมีเหตุหรือปัจจัยหลักที่ทำให้มีการเกิดคือ อวิชชา เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ต้องมีผลของความไม่รู้นั้น เดี๋ยวนี้มีความไม่รู้ไหม แล้วความไม่รู้ไม่รู้ในอะไร เพราะฉะนั้นความไม่รู้คือ ไม่รู้ในแต่ละขณะที่กำลังมีว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นความไม่รู้เป็นสาธารณเหตุของสิ่งที่เกิดแล้วดับ คุณชอบสิ่งที่เห็นไหม ชอบหรือไม่ชอบ เพราะไม่รู้ความจริงสูงสุดของสิ่งที่กำลังมี คิดว่ายังคงมีอยู่แต่ตามความจริงดับไปหมดแล้วเร็วสุดประมาณแต่ละขณะ
- เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ ย่อมต้องมีความติดข้องหรือความไม่ชอบ ฯลฯ ในสิ่งที่มีในขณะที่เห็นแล้วไม่มีความเข้าใจในความจริงของสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง ตอนนี้เข้าใจความหมายของอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารหรือยัง สังขารคืออะไร อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นปฏิจจสมุปบาทไหม
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีความเข้าใจเล็กน้อยว่า อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารแต่เป็นความจริงว่า ชาตินี้มีเพราะมีปัจจัยคือความไม่รู้ มีชอบ มีไม่ชอบแต่ละขณะเพราะไม่รู้ อะไรที่มีในชาติก่อนที่เหมือนเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นคิดว่าความไม่รู้เพิ่งจะมีในชาตินี้หรือ ไม่มีปัจจัยหรือ ด้วยเหตุนี้ชาติก่อนมีอวิชชาไหม ดังนั้นชาตินี้ก็เป็นชาติก่อนของชาติหน้าเพราะฉะนั้นตราบเท่าที่ยังมีอวิชชาก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่เป็นชาติต่อไป มีข้อสงสัยในเรื่องอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารไหม
- เพราะฉะนั้นอะไรเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจากชาติก่อนมาสู่ชาติปัจจุบัน เพระฉะนั้นชาติก่อนเป็นจุดเชื่อมต่อให้มีขณะแรกของชาตินี้ต่อไปและขณะสุดท้ายของชาตินี้มีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารคือการเกิดในชาติต่อไป เพราะฉะนั้นหมดสงสัยว่า ชาติก่อนสังขารเป็นปัจจัยให้กับอะไร วิญญาณ เห็นไหม ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจว่า อะไรเป็นปฏิจจสมุปบาท ชาติก่อนเป็นปัจจัยแก่ชาตินี้ ชาตินี้เป็นปัจจัยแก่ชาติต่อไปและต่อๆ ไป
- เพราะฉะนั้นหมดสงสัยว่า ชาติก่อนเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารคือ กรรมทุกชนิดและกรรมหนึ่งในอดีตเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดขณะแรกของชาตินี้คือ วิญญาณโดยนัยของปฏิจจสมุปบาทซึ่งหมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณ เพราะฉะนั้นวิญญาณคืออะไร เพราะว่าอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณซึ่งหมายถึงปฏิสนธิจิต เมื่อมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาพธรรมอะไรหรือเปล่า แล้วเป็นปัจจัยอะไรไหม
- ลองบอกปฏิจจสมุปบาทที่เป็น ๓ ข้อแรกได้ไหม มิฉะนั้นจะมีความสนใจที่จะเข้าใจทั้งหมดนี้หลังจากที่ได้ฟังแล้วได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงจุดที่เชื่อมโยงกันในชาตินี้ อะไรเชื่อมโยงกับวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่อะไร เราจะเข้าใจชื่อหรือเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นสังขารจากชาติก่อนหมายถึงกรรมเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิต ถ้าไม่รู้เราก็แค่จำว่า สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณแต่สังขารคืออะไร คือกรรมกรรมหนึ่งที่เป็นปัจจัยให้มีชาตินี้
- เพราะฉะนั้นอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นปัจจัยแก่นามคือเจตสิกและแก่รูป ในที่นี้เป็นรูปประเภทไหน ต้องศึกษาเพิ่มไม่ใช่เพียงคำว่า ปฏิจสมุปบาทเท่านั้น เพราะว่าชาติก่อนเป็นปัจจัยแก่ชาตินี้ เพราะฉะนั้นมีอะไรบ้างในชาตินี้แต่ละขณะ ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนว่า ตราบใดที่ยังมีปฏิสนธิจิตย่อมต้องมีเจตสิกและรูปคือ กัมมชรูปซึ่งเป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย ๓ กลาปเท่านั้นในขณะแรกเกิด
- เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ด้วยการเริ่มศึกษาปฏิจสมุปบาทก่อน แต่ต้องเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เพื่อเข้าใจว่า ทำไมมีชาติก่อน ทำไมมีชาตินี้ เข้าใจกรรม เข้าใจขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ฯลฯ ที่เป็นปัจจัยแก่นามรูป ที่เป็นปัจจัยแก่ผัสสะ ฯลฯ เหมือนเดี๋ยวนี้แต่ไม่ต้องไปกังวลกับคำว่า ปฏิจสมุปบาท เพราะว่าไม่ใช่แค่คำแต่เป็นสิ่งที่มีจริง เพื่อเข้าใจความเป็นวัฏฏะ กิเลสวัฏฏ์เป็นปัจจัยแก่กรรมวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์เป็นปัจจัยแก่วิปากวัฏฏ์และนี้ก็เป็นปฏิจสมุปบาทด้วย อะไรเป็นปัจจัยแก่อะไร
- เพียงได้ยินคำว่า ปฏิจจสมุปบาทแล้วอยากรู้ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยเพียงแค่การศึกษาคำแต่ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรเพื่อที่จะสามารถรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้เป็นปฏิจสมุปบาทไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจจิต เจตสิก รูป และด้วยการพิจารณาไตร่ตรองของตนเองเพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมโดยนัยของปฏิจสมุปบาท หรือนัยของขันธ์ หรือนัยของอายตนะ เป็นการศึกษาธรรมศึกษาความจริงทีละเล็กทีละน้อย
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร คนอื่นจะเป็นสัมมาสัมพุทโธได้ไหม ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น ใครคือ สัมมาสัมพุทโธ ผู้ที่มีปัญญาสูงสุดเหนืออื่นใดทั้งหมดในสากลจักวาล เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสว่าอย่างไร ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ศึกษาทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจสิ่งที่ถูกตรัสรู้แแล้วว่า เป็นปฏิจสมุปบาทแน่นอน แต่ไม่ใช่ไปพยายามด้วยการคิดชื่อว่า สิ่งนี้เป็นปัจจัยกับสิ่งนั้น ฯลฯ แต่ขณะที่มีความเข้าใจ ไม่ใช่ขณะเห็นแต่ถ้าไม่มีผัสสะจะมีขณะที่เห็นได้ไหม และเมื่อเห็นดับไป ปัจจัยอะไร วิญญาณ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส แล้วสังขารหล่ะ เวทนาป็นปัจจัยแก่ตัณหา ฯลฯ
- ไม่ใช่แค่เรียงชื่อไปตามลำดับแต่เข้าใจเหตุหลักที่เป็นปัจจัยให้เกิดชาตินี้ที่มาจากชาติที่แล้ว และจะมีชาติต่อๆ ไปในอนาคต มีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ปัจจัยสำคัญของชีวิตในแต่ละชาติคือ อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารที่มีในชาติก่อนๆ และจากขณะนั้นจนมาสู่ทุกขณะเดี๋ยวนี้ ผัสสะ เวทนา โลภะ ความยึดถืออุปาทานและต่อๆ ไปจนเป็นปัจจัยให้เกิดชาติต่อไป ไม่สงสัย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ามีไหม ใครทรงเป็นพระพุทธเจ้า หรือไม่มีพระพุทธเจ้าเลย
- ใครก็ตามที่เข้าใจธรรมก็จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหมเมื่อมีความเข้าใจคำที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริงที่เป็นธรรมก็มีความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะโดยนัยของขันธ์ ธาตุ อายตนะ ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมคือ ศึกษาสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ทุกขณะไม่ใช่ใคร หรือว่ามีคน หรือมีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเป็นสภาพธรรมที่แตกต่างกัน ใครเปลี่ยนได้ไหม สภาพธรรมมีจริงๆ เพราะกำลังมีหลากหลายมาก เดี๋ยวนี้มีสภาพรู้ที่ไม่ใช่อยู่แต่ในตำราแต่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เห็นกำลังเห็น เห็นที่เกิดแล้วดับจะเป็นคนเป็นใครได้ไหม
- ศึกษาธรรมไม่ใช่คำ แต่สิ่งที่กำลังมีเป็นอัตตาเพราะยังไม่มีการประจักษ์แจ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำว่า “ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา” เป็นคำของพระพุทธองค์หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เราจำสิ่งที่เราพูดหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจว่า มีการสะสมความไม่รู้มามากมายนับไม่ถ้วน ตรงต่อความจริงตามควาามเป็นจริงไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้เลย อวิชชาชอบหรือไม่ชอบไม่ได้ เพียงเกิดขึ้นไม่รู้ความจริงแล้วดับ
- เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นหนทางเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อรู้ความจริงของสภาพธรรมที่ลึกซึ้งแต่ละขณะ ทุกคนศึกษาความจริงของขณะนี้ว่า ไม่เที่ยง เกิดแล้วดับหมดแล้วไม่เหลือ แต่ว่า มั่นคงแค่ไหนว่าไม่มีเรา เพราะว่าในขณะที่เห็น ก่อนเห็นไม่มีเห็นแล้วมีปัจจัยให้เห็นเกิด ไม่มีใครรู้ว่ามีปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยที่สมควรก็ไม่มีอะไรเกิดได้เลย แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เพราะหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ พระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ธรรมทั้งหมดที่มีจริงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งใด เพียงชั่วขณะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
- เพราะฉะนั้นขณะนี้เดี๋ยวนี้เป็นโลกของอัตตาหรือโลกของอนัตตา ต้องตรงต่อความจริง เพราะฉะนั้นมีความเชื่อหรือความเข้าใจเป็น ๒ อย่าง เป็นความเข้าใจเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงและความเข้าใจผิดเห็นผิด เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้ว่าใครมีความเห็นผิดประการต่างๆ อย่างไร หรือมีความเข้าใจถูกมากน้อยแค่ไหน ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความละเอียดรอบคอบอย่างยิ่งเท่านั้นที่จะอบรมให้เข้าใจอนัตตาเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งเปิดเผยลักษณะอนัตตาของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้
- เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเข้าใจความจริงตั้งแต่ต้น มั่นคงในความจริงของสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง สิ่งที่มีไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงแต่ปรากฏเป็นนิมิต เป็นเครื่องหมาย เป็นรูปทรงสัณฐานทางทวารต่างๆ และนี้เป็นความต่างของผู้ที่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีการเข้าใจความจริงจากการไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบว่าเป็นโลกของอนัตตา แต่ก่อนจะได้มีการฟังคำสอนของพระองค์ที่ทรงสอนให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังขณะนี้ล้วนเป็นโลกของอัตตา
- เพราะฉะนั้นระหว่างโลกของอัตตากับโลกของอนัตตา อะไรจริง เพราะฉะนั้นอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ไม่ว่าจะเป็นความเห็นผิดหรือความเห็นถูก ด้วยเหตุนี้มีเพียงผู้ที่ได้เข้าใจความจริงของอนัตตาแล้วเท่านั้นที่เป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระองค์เพราะไม่สามารถคิดและเข้าใจอนัตตาได้ด้วยตนเอง เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏแต่ปราศจากความเข้าใจปรากฏโดยเป็นนิมิตของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอัตตา เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นโลกของอัตตาหรือว่าเป็นโลกของอนัตตา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงแสดงอริยสัจจธรรม ๓ รอบ ต้องตรงต่อความจริงที่จะรู้ว่า นี้เป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ เข้าใกล้ความจริง เข้าใจลักษณะของความเป็นอนัตตา
- เพราะฉะนั้นการเข้าใจความจริงของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกุญแจที่จะค่อยๆ เข้าใกล้ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้โดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นต้องศึกษาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตั้งแต่รอบที่หนึ่งแต่ยังไม่ได้ระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีขณะนี้ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นมีความหวังที่อยากจะฟังเพียงคำนั้นหรือธรรมนั้นเท่านั้นหรือเปล่า คำตอบคืออะไร เพราะเหตุว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง ความหวังคือความติดข้องคือโลภะที่เกิดพร้อมอวิชชา เห็นไหมใครจะรู้จักความแยบยลของโลภะที่มีอยู่เสมอที่อยากจะรู้เรื่องนี้ อยากได้สิ่งนั้น อยากเข้าใจสิ่งนี้ ฯลฯ นี้ไม่ใช่หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพราะว่าหนทางสู่การตรัสรู้คือ หนทางละความไม่รู้และความติดข้อง จึงต้องมั่นคงในความเป็นอนัตตา
- ธรรมเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับไหม อยากจะประจักษ์แจ้ง อยากจะรู้อย่างนั้นไหม คำตอบคืออะไร ทำได้ไหมด้วยความพยายามอย่างมากที่ประจักษ์แจ้งได้ไหม ถ้าคิดว่าทำได้ คิดว่าพยายามได้ก็โดนโลภะหลอกอีกแล้ว แต่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความจริงก่อนที่พระองค์ทรงแสดงอาศัยเวลานานเท่าไหร่ พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากๆ ก่อนที่ความเข้าใจจะเจริญขึ้นในสิ่งที่กำลังมีว่า มีจริงๆ เพิ่มขึ้น ค่อยๆ อบรมเจริญขึ้นๆ โดยไม่รู้ตัวเลยขณะนี้
- เพราฉะนั้นขณะนี้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงซึ่งลึกซึ้งจะเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เข้าใจว่า ความเข้าใจนั้นเกินกว่าที่จะหวัง เกินกว่าที่จะไปพยายามทำให้เข้าใจ แต่ต้องเป็นการละความปรารถนา ความต้องการ ความจงใจพยายามที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นขณะใดที่มีความเข้าใจความจริงที่เพิ่มขึ้นอีกแม้เพียงเล็กน้อยเป็นขณะที่ละที่จะเลือกที่จะรู้ ที่จะเลือกที่จะศึกษาเรื่องไหนด้วยความจงใจ และเมื่อมีความเข้าใจมั่นคงในความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งและความเข้าใจถูกนั้นเองที่รู้ว่า ในชีวิตหนึ่งที่เกิดมาที่ไม่มีการฟังธรรม ไม่มีการไตร่ตรองพิจารณาสภาพธรรมจนเข้าใจ ไม่สามารถนำไปสู่การประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้โดยความเป็นอนัตตา และการเข้าใจความจริงที่เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๔ เท่านั้นที่เป็นอริยสัจจ์สุดท้ายที่เป็นหนทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริงเพื่อละความติดข้องที่จะไปทำสิ่งใดเพื่อรู้ความจริง
- เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่ยังไม่รู้ ความเข้าใจไม่ว่าโดยนัยไหน โดยนัยของขันธ์ หรือนัยอื่นๆ เราสามารถกล่าวถึงความจริง ถึงปรมัตถสัจจะของสิ่งนั้นเพื่อเข้าใจความจริงและความเข้าใจถูกสัมมาทิฏฐินั้นเองที่จะสามารถละความติดข้อง ความต้องการหรือความหวังที่จะไปรู้สภาพธรรม เพราะว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะประจักษ์แจ้งธรรมได้ด้วยความหวังความต้องการ เพราะฉะนั้นสามารถเข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้โดยไม่ต้องใส่ชื่อหรือเรียกว่าอะไรเลย แต่ละขณะเกิดแล้วดับโดยอวิชชาและสังขาร เพราะฉะนั้นขณะเห็นเป็นปฏิจจสมุปบาทอะไร ทันทีที่วิญญาณหรือปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นต่อมาจะเป็นปัจจัยให้เกิดเห็น ได้ยิน เป็นผลของกรรม
- เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้เป็นผลของกรรมในอดีตหลังจากที่สภาพรู้ที่เกิดขึ้นครั้งแรกของชาตินี้ เพราะฉะนั้นหลังเห็น ชีวิตก็ดำเนินต่อไปตามปัจจัย แต่หลังจากขณะแรกเกิดเราไม่กล่าวถึงตาถึงหู เราไม่กล่าวถึงจิตที่รู้อารมณ์แต่เรากล่าวถึงว่าอะไรเป็นอายตนะขณะนั้น เรากล่าวถึงสิ่งที่เป็นที่ต่อบ่อเกิดให้รู้สิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นหลังจากการเกิดต้องมีอายตนะเป็นบ่อเกิดให้รู้สิ่งที่มีที่ปรากฏในโลกนี้ และความหมายของอายตนะก็มีมากและกว้างขวางกว่าที่เราได้กล่าวถึงซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่ง มิฉะนั้นประโยชน์อะไรของกรรมที่จะให้ผลเพียงปฏิสนธิเท่านั้น ไม่พอเลย
- เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตมีกรรมเป็นปัจจัยซึ่งกรรมก็ให้ผลเป็นจิตขณะอื่นๆ ต่อๆ ไปด้วย และถ้าไม่มีอายตนะก็ไม่มีการรู้สิ่งที่ปรากฏในโลกนี้เลย เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงจุดเชื่อมโยงในชาตินี้ ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นามรูปที่เป็นบ่อเกิดให้สามารถรู้สิ่งที่ปรากฏเป็นอายตนะ และเมื่อมีอายตนะถ้าปราศจากผัสสะ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ และนี้คือปฏิจสมุปบาทเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่มีที่เป็นปัจจัยแก่สภาพธรรมต่อไปๆ เพระฉะนั้นสิ่งที่มีที่เกิดขึ้นในชาตินี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่เป็นปัจจัยแก่ชาติต่อไป
- มีความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย หลังจากผัสสะ มีอะไรต่อ เห็นไหม เวทนาสำคัญมากในแต่ละชาติ แต่ละคนปรารถนาความรู้สึกที่ดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นความรู้สึกเป็นสุขเป็นปัจจัยให้กระทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตเพื่อความพอใจของตนไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลทั้งทางกายทางวาจา เพราะฉะนั้นมีเวทนาอย่างนั้นไหม เป็นปัจจัยแก่อะไรเดี๋ยวนี้ไม่รู้เลย เพียงจำคำแต่เป็นเวลาที่เริ่มเข้าใจถูก
- ตัณหามีมากแต่ไม่รู้ แต่ละขณะๆ เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดอะไร ถ้าไม่มีตัณหาเดี๋ยวนี้จะมีการกระทำทางกายทางวาจาที่เป็นปัจจัยให้กรรมเกิดขึ้นได้ไหม เพราะฉะนั้นตัณหาแต่ละขณะที่มีเพิ่มขึ้นๆ เป็นปัจจัยแก่อุปาทาน ทำไมตัณหาต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้น ความยึดถือแต่ละขณะมีมากจนกระทั่งเป็นการยึดถือในภพต่อไป และเรากำลังพูดถึงอะไรในชาตินี้ เพราะฉะนั้นต้องมีชาติต่อไปแน่นอนและนี้เป็นแต่ละข้อของปฏิจสมุปบาท อวิชชาในอดีตเป็นปัจจัยแก่ชาตินี้จากขณะที่เกิดและต่อๆ ไป เวทนาทุกประเภท ตัณหา และอวิชชา เพียงเชื่อในขณะต่อไปเพื่ออะไร เพราะว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทำไมถึงมีการกระทำอกุศลเพื่อสิ่งที่ต้องการเพียงเพื่อขณะต่อไป ยืดถือในความมีความเป็น
- การกระทำทุกอย่างในชาติก่อนๆ เป็นปัจจัยให้เกิดชาตินี้และการกระทำในชาตินี้เป็นปัจจัยให้เกิดชาติต่อไปๆ สืบต่อไปไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นเราสามารถกล่าวถึงปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลม เช่นถ้าไม่มีอวิชชาก็ไม่มีการเกิดเป็นต้น เพราะฉะนั้นขณะที่มีความติดข้องในสิ่งต่างๆ ความเข้าใจถูกทำให้มีความเชื่อว่า ยังต้องมีชาติต่อไปแน่นอน เพราะฉะนั้น ชาตินี้เป็นปัจจัยให้มีชาติต่อไป เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นอกุศลกรรมก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบากตั้งแต่ขณะเกิด เพราะฉะนั้นวิบากในแต่ละขณะของชาตินี้มีปฏิจสมุปบาทเป็นปัจจัย ให้มีการกระทำกรรมต่างๆ ในชาติก่อนๆ ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมจะเป็นปัจจัยให้เกิดขณะที่เป็นกุศลทีละเล็กทีละน้อยเพราะปัญญาค่อยๆ เห็นโทษภัยของอกุศล ตราบใดที่ยังมีอวิชชาและสังขาร ชาติต่อไปจะไปเกิดในนรกได้ไหม
- ยังสงสัยปฏิจจสมุปบาทไหม เมื่อมีความเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นก็จะมีความซาบซึ้งในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะได้ฟังคำสอนของพระองค์ มีใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง จนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงว่า มีค่าอย่างยิ่งเพราะว่าในสังสารวัฏฏ์ถ้าไม่มีขณะที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระองค์ก็จะไม่มีขณะที่เข้าใจความจริง เมื่อวานหมดแล้ว เมื่อเช้านี้หมดแล้ว เมื่อกี้นี้ดับหมดแล้วไม่เหลือ เป็นความจริงอย่างยิ่ง ไม่ว่าอะไรที่มีเดี๋ยว ที่ได้มีก่อนหน้านี้แต่ละขณะเป็นธรรมเท่านั้น ไม่มีใคร เป็นอนัตตา เพราะว่าไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย
- เพราะฉะนั้น ขณะที่มีค่าที่สุดคือ ขณะที่เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีว่าคืออะไรแต่ละขณะ และความมั่นคงในความจริงที่สามารถประจักษ์แจ้งได้เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลในวันหนึ่งๆ ในชาติหนึ่งๆ ในบรรดาสภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดดับ ความเข้าใจถูกมีค่าที่สุด มีค่ายิ่งกว่าชื่อเสียง เกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าที่สุดคือ ขณะที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งเป็นรอบที่สองรอบที่สามของอริยสัจจธรรม
- การเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นๆ เป็นจุดประสงค์ในกาารมีชีวิตอยู่ ความเข้าใจความจริงขณะนี้มีอะไรเป็นศัตรูที่ใกล้ชิด ความติดข้องทำกิจของตนในแต่ละวันทั้งวันแทบจะตลอดเวลา สะสมความไม่รู้และความติดข้องเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นอีกนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นขณะที่เกื้อกูลความจริงแก่ผู้อื่นก็มีค่าอย่างยิ่งเช่นกัน อุทิศแต่ละขณะเพื่อธรรม เพื่อความเข้าใจพระธรรมเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าใจธรรมเหมือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมาแล้ว ชีวิตแสนสั้นและหากมีความเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ก็จะรู้ว่าชีวิตสั้นมาก ก็จะเป็นปัจจัยให้กระทำความดีเพิ่มขึ้นและเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นๆ ตามเหตุตามปัจจัย
- แต่ละขณะที่เกิดในสังสารวัฏฏ์มีกรรมเป็นปัจจัยและตราบใดที่ยังมีอวิชชาและความติดข้องไม่มีทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจชีวิตเดี๋ยวนี้มีปัจจัยมาจากปัจจัยก่อนหน้านี้และขณะนี้ก็เป็นปัจจัยให้กับขณะต่อไปเรื่อยๆ ในความมืดที่มืดมากๆ และทุกอย่างที่ได้ยินและเริ่มเข้าใจชัดเจนขึ้นๆ เป็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธัง สรณัง คัชฌามิ ที่จะเกื้อกูลใครก็ตามให้เกิดความเข้าใจไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ไกลแค่ไหนก็จะเสด็จไปเพื่อพบกับผู้นั้น เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจถูกก็ไม่มีทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์
- เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเป็นใคร พระปัญญาคุณสูงสุด พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ อะไรคือพระพุทธเจ้า ใครเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือปัญญา เป็นปัจจัยให้เกิดศีลอันยิ่งเป็นบารมี และเพราะด้วยพระมหากรุณาคุณของพระองค์มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำของพระองค์เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราสนทนากันไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรล้วนมาจากพระธรรมคำสอนของพระองค์ทั้งสิ้นเพื่อความเข้าใจความจริงสูงสุดคือ อนัตตา การเข้าใจความจริงของธรรมว่า เป็นอนัตตาเป็นปัจจัยให้มีความมั่นคงในการที่จะเข้าใจความจริงเพราะว่ามีค่าอย่างยิ่งต่อทุกคน เพราะฉะนั้นชีวิตต่อจากนี้เป็นชีวิตที่อยู่เพื่อเข้าใจความจริงและช่วยให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วยซึ่งเป็นขณะที่มีค่าที่สุดในชีวิต
- ธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต้องอาศัยเวลานานมากๆ กว่าที่จะค่อยๆ เข้าใกล้ความจริง ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้มีสิ่งต่างๆ มากมาย เป็นสีต่างๆ เป็นหมอน เป็นเตียง เป็นรูปภาพ ฯลฯ เมื่อหลับตาแล้วไม่เหลืออะไรเลย เป็นไปได้อย่างไร จริงไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของแต่ละธรรมแม้แต่ขณะที่หลับตาหรือลืมตา และความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งแม้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ยังไม่ต้องหลับตาสิ่งนั้นก็ดับไปหมดแล้ว แต่ละคำจริงอย่างยิ่งเพราะว่าขณะที่เห็นก็มีเสียงให้ได้ยิน แต่ไม่ใช่เป็นขณะเดียวกัน เพราะฉะนั้นมีการเกิดดับเร็วสุดประมาณและลึกซึ้งมาก แต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษาสามารถที่จะศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบเพิ่มขึ้นจนกระทั่งมั่นคงในความจริงค่อยๆ ใกล้ความเข้าใจ
- ขณะที่เห็นจะเป็นขณะที่ได้ยินไม่ได้เลย ตาเป็นรูปที่สามารถรับกระทบสิ่งที่กระทบได้ เป็นปัจจัยให้เกิดเห็นเดี๋ยวนี้สั้นมาก เพราะว่าไม่ใช่ขณะที่ได้ยินแต่เหมือนกับว่า ทั้งสองอย่างจะเกิดพร้อมๆ กันแต่ตามความเป็นจริงห่างกันมาก แม้แต่ขณะที่เข้าใจความจริง ๑ ขณะก็มีค่าอย่างยิ่งเพราะสะสมอบรมเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมเพียง ๑ ลักษณะที่กำลังมีเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเลย
- ด้วยเหตุนี้การได้ฟังเรื่องเห็นขณะที่กำลังมีเห็นเดี๋ยวนี้แต่ความเข้าใจยังไม่มีกำลังมากพอที่จะระลึกถึงเฉพาะเพียง ๑ ธรรม เพราะว่าตามความเป็นจริงมีเพียงสภาพธรรม 1 อย่างเท่านั้นที่ปรากฏทีละหนึ่ง ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยสามารถเป็นปัจจัยให้มีความมั่นคงมีความเข้าใจถูก เป็นกุศลเป็นคุณความดีที่สามารถเข้าใจความจริงได้ และนั่นคือหนทาง ปัญญารู้หนทางที่จะเข้าใจความจริงจนตรัสรู้
- เพราะฉะนั้น คุณค่าชีวิตในระหว่างที่ยังไม่สิ้นไปคือ เข้าใจความจริง ความรู้มีแค่ไหน เพราะฉะนั้นจากนี้ไปความเข้าใจจะนำทางไปสู่พรุ่งนี้และต่อๆ ไป ค่อยๆ เป็นกุศลเพิ่มขึ้นทีละน้อยและเป็นอกุศลน้อยลง และหนทางที่จะนำไปสู่ความเข้าใจถูกคือ ค่อยๆ ละความไม่รู้ไปทีละน้อย
- นี้เป็นปฏิจจสมุปบาทใช่ไหม เข้าใจธรรมไม่ใช่เพียงเข้าใจคำจนกว่าถึงเวลาที่ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าขณะไหนในชีวิตที่มีการอบรมสะสมปัญญามาที่จะเกิดขึ้นเป็นอนัตตาผุดขึ้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยขณะนี้และเริ่มที่จะเข้าใจว่า ชีวิตที่มีค่ากับชีวิตที่ไร้ค่าต่างกันอย่างไร และนี้คือความหมายของ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ มิใช่เพียงฟังเข้าใจแต่ประพฤติตามด้วยและมั่นคงในความเป็นอนัตตา เป็นอนัตตาเพราะเกิดแล้วเป็นเห็นแล้วดับ เกิดแล้วเป็นได้ยินแล้วดับแต่ละขณะไม่เที่ยง เป็นการเริ่มต้นที่จะเป็นมงคลที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งต่อๆ ไปจนถึงการที่ดับอวิชชาจนหมดสิ้น
- สมควรแก่เวลา ยินดีในความเข้าใจ ยินดีในกุศลของทุกท่าน สวัสดีค่ะ
คุณค่าชีวิตในระหว่างที่ยังไม่สิ้นไปคือ เข้าใจความจริง ความรู้มีแค่ไหน เพราะฉะนั้นจากนี้ไปความเข้าใจจะนำทางไปสู่พรุ่งนี้และต่อๆ ไป ค่อยๆ เป็นกุศลเพิ่มขึ้นทีละน้อยและเป็นอกุศลน้อยลง และหนทางที่จะนำไปสู่ความเข้าใจถูกคือ ค่อยๆ ละความไม่รู้ไปทีละน้อย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ