ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๓

 
khampan.a
วันที่  1 ธ.ค. 2567
หมายเลข  49021
อ่าน  616

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๓




~ พระธรรมแต่ละคำที่แต่ละคนได้ยินได้ฟังนี้ มาจากการบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนานของผู้ที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำคือพระมหากรุณาคุณ ตั้งแต่ครั้งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์จนกระทั่งได้ทรงตรัสรู้ มีค่ามากสำหรับที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเข้าใจจริงๆ


~ พระธรรมจะชี้ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อกุศลเป็นอกุศล แยบยลหลากหลายและละเอียดมากด้วย ยากที่จะรู้ได้ แต่ปัญญาสามารถรู้ทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ขณะนั้นเบิกบานที่ได้รู้ความจริงและได้พ้นจากการไม่รู้ความจริง

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ควรแก่การเคารพสักการบูชาสูงสุด เพราะเหตุว่า สามารถจะนำมาซึ่งความเข้าใจซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในสังสารวัฏฏ์ แต่ละคำไม่ประมาทเลย ความเข้าใจวันนี้ ฟังต่อไป ไตร่ตรองต่อไป จะมีความเข้าใจขึ้นแน่นอน และก็มั่นคงขึ้นด้วย แต่ถ้าขาดการฟังก็เหมือนเดิม คิดเอง ผิดด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

~ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองใดๆ เลย ก็เป็นบุญได้ เพราะบุญต้องเป็นธรรมฝ่ายดี ธรรมฝ่ายดี จิตใจที่ดีงามเกิดเมื่อไหร่ แสดงความเคารพต่อผู้ที่ควรเคารพ เช่น เคารพต่อปูย่าตายาย ขณะนั้นไม่มีเงินเลย ก็เป็นบุญแล้ว เพราะฉะนั้น บุญคือธรรมแน่นอน คือ เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งนั้นเป็นธรรมฝ่ายดีด้วย ไม่มีความโกรธ ไม่มีความติดข้องขณะไหน ขณะนั้นก็เป็นบุญ

~ สติเป็นสภาพธรรมที่มีจริง รู้ได้ขณะไหน? ขณะที่ไม่เป็นอกุศล รับประทานอาหารอร่อย สติหรือเปล่า? แต่ถ้าเกิดความเอื้อเฟื้อ คิดถึงคนอื่นแม้เพียงเล็กน้อยเพราะสติระลึกเป็นไปในการที่จะให้คนอื่นได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นขณะที่สภาพที่อ่อนโยน มีความเป็นมิตรมีความหวังดีสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ให้คนอื่น ขณะนั้นถ้าไม่มีสติที่ระลึกเป็นไป เกิดไม่ได้

~ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม และทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อยู่ในตำราเลย ขณะนี้ทางตาที่กำลังเห็นก็เป็นธรรม ทางหูที่กำลังได้ยิน ความคิดนึก ล้วนเป็นธรรมทั้งนั้น เพื่อจะเตือนให้เราทราบว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่เราอาศัยการฟังหรือการอ่านหรือการสนทนา เพื่อที่จะช่วยให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

~ ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยทุกขณะ เป็นปัญญาบารมี เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟัง ไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจ เป็นปัญญาบารมี เป็นวิริยะบารมี แม้ว่าจะกำลังง่วง กำลังหิว แต่ก็ฟังต่อไปเป็นขันติบารมี

~ ปัญญาบารมีทำให้เข้าใจว่าพระธรรมลึกซึ้งยากมาก ถ้าขณะใดไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นอกุศล ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้

~ ขณะที่ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว ขณะนั้นเป็นเหตุให้เกิดอกุศลมาก

~ ปัญญาไม่ได้นำความทุกข์มาให้เลย ปัญญานำมาซึ่งคุณความดีทั้งปวง ปัญญาทำให้รู้ว่าแม้เพียงกุศลเล็กน้อยเท่าไหร่แค่หนึ่งขณะก็ยังมีประโยชน์มหาศาล เพราะถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลเกิดแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี จะมีความดีเพิ่มขึ้นได้ไหม? มีอกุศลมากๆ ทุกวัน เพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน แล้วเมื่อไหร่จะละอกุศลหมด

~ ฟังครั้งเดียวอวิชชา (ความไม่รู้) หมดไหม? ไม่มีทางเลย ปัญญาเข้าใจเมื่อไหร่เมื่อนั้นที่กำลังเข้าใจไม่ใช่อวิชชา เพราะฉะนั้น อวิชชาความไม่รู้ ลด เพราะวิชชาเกิดเริ่มเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจอะไรๆ ก็ไปลดอวิชชาไม่ได้

~ ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น จะเป็นผลดีได้ไหม? ถ้ามีความเข้าใจมั่นคง ก็มีปัจจัยที่จะทำความดี เป็นบารมี เพราะรู้ว่าขณะใดที่อกุศลเกิดไม่สามารถรู้ความจริงได้ แล้วอกุศลก็ไม่ต้องพยายามไปทำให้เกิด เพราะเกิดแล้วเป็นประจำ จะพยายามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เห็นกำลังของอกุศลไหมว่าต้องอาศัยปัญญาเท่านั้นอย่างเดียว

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมายความถึงเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหน และเดี๋ยวนี้ไม่รู้ แสดงว่าต้องฟังอีกนานเท่าไหร่ ก็ไม่ท้อถอย วิริยะบารมี ขันติบารมี ตรงต่อความจริง

~ สังสารวัฏฏ์ คือ กิเลสวัฏฏ์ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ขณะนี้เป็นธรรม เป็นปัจจัยให้เกิดกรรมวัฏฏ์การกระทำที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผล เพราะฉะนั้น ผล คือ วิบาก (วิปากวัฏฏ์) ก็เกิดขึ้น วนอยู่อย่างนี้ทั้งกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์และวิปากวัฏฏ์

~ ในชาตินี้ทุกคนเกิดมาแล้วก็รู้ว่าอยู่ไม่นานแน่ๆ ใครจะรู้ว่านานแค่ไหน ไม่มีทางรู้เลย แต่ประโยชน์ของการฟัง คือ ความเข้าใจจะติดตามไปให้ได้มีโอกาสฟังและให้เป็นผู้ละเอียด ให้เป็นผู้เข้าใจธรรมที่ต่างกันมากกับผู้ไม่เคยฟังธรรมเลย

~ ขณะใดที่โกรธ เป็นมิตรกับคนที่เรากำลังโกรธหรือไม่ ไม่ใช่เลย เครื่องพิสูจน์มีมากว่าเป็นมิตรจริงๆ หรือไม่ ไม่ใช่คิดจะให้คนอื่นเป็นมิตรกับเรา แต่ที่ถูกต้องก็คือ ผู้ที่ฟังธรรมนั้นประพฤติปฏิบัติธรรมแค่ไหน ตามความเข้าใจ ตนเองได้ฟังธรรม มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น น้อม คือ ขณะที่ฟังเปลี่ยนจากเดิมที่เคยโกรธง่ายเคยว่าร้ายง่ายๆ ก็มีความเป็นเพื่อนมากขึ้น เป็นมิตรมากขึ้น

~ ไม่มีสักคำเดียวที่ผู้เป็นกัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้เกิดโทษและอกุศลกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด ก็ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างนั้นด้วย เพราะเหตุว่าแต่ละคนก็เป็นแต่ละจิตตามการสะสมสืบต่อมานานแสนนาน ทำให้มีอัธยาศัยต่างๆ กันไป เพราะฉะนั้น ความคิด ความเห็นก็ต้องต่างกันไป แต่ว่าผู้ที่เป็นมิตรจริงๆ อดทนไหมที่จะเห็นประโยชน์ของมิตร เวลาเป็นมิตรจะไม่เห็นประโยชน์ของตน แต่จะเห็นประโยชน์ของผู้ที่เราเป็นมิตรกับเขา คือ เห็นประโยชน์ของคนอื่น ย่อมสละแม้ความสุขเพื่อประโยชน์ของคนที่เป็นมิตรได้ไหม?

~ ถ้ามีความเป็นเพื่อน ไม่เดือดร้อนเลยสักขณะเดียว ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน ที่ไหน เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนใจใครได้ แต่ใจของเราที่ไม่เป็นศัตรูไม่คิดร้ายต่อใคร ขณะนั้นเราจะไม่มีศัตรูเลย เพราะว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร

~ จากการฟังก็จะค่อยๆ เห็นพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้น แต่ละคนจะมีชีวิตอยู่โดยเกิดมาแล้วก็เห็น ได้ยิน คิดนึก สุข ทุกข์ แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีในชีวิตในแต่ละชาตินั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระ เพราะอะไร? เกิดแล้วก็ดับ เมื่อวานนี้ก็หมดไปแล้ว แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่า เป็นของเรา อะไรที่เป็นของเรา? สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ไม่ว่าทรัพย์สมบัติใดๆ ที่บ้านเป็นของเรา แต่ความจริงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นสำหรับทุกคนที่เห็น ไม่ใช่เป็นของคนหนึ่งคนใด

~ เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมแล้ว ชีวิตก็จะเจริญในทางฝ่ายกุศล จะไม่เบียดเบียนใคร และเราก็จะไม่เดือดร้อนด้วย เพราะเหตุว่าธรรมที่เป็นกุศลมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๒


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 1 ธ.ค. 2567

ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 1 ธ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 1 ธ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 2 ธ.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 2 ธ.ค. 2567

ปัญญาไม่ได้นำความทุกข์มาให้เลย ปัญญานำมาซึ่งคุณความดีทั้งปวง ปัญญาทำให้รู้ว่าแม้เพียงกุศลเล็กน้อยเท่าไหร่แค่หนึ่งขณะก็ยังมีประโยชน์มหาศาล เพราะถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลเกิดแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี จะมีความดีเพิ่มขึ้นได้ไหม? มีอกุศลมากๆ ทุกวัน เพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน แล้วเมื่อไหร่จะละอกุศลหมด

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ