ละความติดข้องซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 110
๕. กามสูตร
ว่าด้วยกามตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวไปนาน
[๑๙๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ แล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นแม้สังโยชน์อันหนึ่งอย่างอื่น ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ผู้ประกอบแล้วแล่นไป ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน เหมือน สังโยชน์ คือ ตัณหานี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วย สังโยชน์ คือ ตัณหาย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
บุรุษ ผู้มีตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน ย่อมไม่ก้าวล่วง สงสารอันมีความเป็นอย่างนี้และความเป็น อย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้ตัณหาซึ่งเป็นแดน เกิดแห่งทุกข์นี้โดยความเป็นโทษแล้ว เป็น ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น มีสติ พึง เว้นรอบ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบกามสูตรที่ ๕
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 534
๘. ตัณหาสูตร
ว่าด้วยความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปแห่งทุกข์
[๔๙๓] กรุงสาวัตถี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งรูปตัณหา ฯลฯ แห่งสัททตัณหา ฯลฯ แห่งคันธตัณหา ฯลฯ แห่งรสตัณหา ฯลฯ แห่งโผฏฐัพพตัณหา ฯลฯ แห่งธรรมตัณหา เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ.
[๔๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับโดยไม่เหลือ ความสงบระงับ ความดับสูญแห่งรูปตัณหา ฯลฯ แห่งสัททตัณหา ฯลฯ แห่งคันธตัณหา ฯลฯ แห่งรสตัณหา ฯลฯ แห่งโผฏฐัพพตัณหา ฯลฯ แห่งธรรมตัณหา เป็นความดับโดยไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นความสงบระงับแห่งโรค เป็นความดับสูญแห่งชราและมรณะ.
จบ ตัณหาสูตร
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์กล่าวว่า สุขที่รู้ความจริง สุขที่รู้ว่าโลกแตก ช่างตรงกันข้ามกับความคิดของคนทั่วไป เรากลัวภัยธรรมชาติ เรากลัวไฟไหม้ กลัวน้ำท่วม กลัวโลกแตก ถ้าเขาบอกว่า โลกจะแตกหรือไม่ถึงแตก แต่ก็จะน้ำท่วมกรุงเทพ จะเหลือเฉพาะภาคอีสาน คนก็กลัว โดยเฉพาะโลกแตก กลัวกันว่าดาวพระเคราะห็ดวงนี้จะแตก แต่ ท่านอาจารย์กล่าว สุขที่รู้ความจริง ก็คือสุขที่รู้ว่า โลกแตก
กราบท่านอาจารย์ครับ สุขอย่างไรครับที่เมื่อรู้ว่า โลกแตก เป็นความสุขอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา ต้องเข้าใจชัดเจน แตก มีเราไหม?
อ.อรรณพ: ก็ต้องเข้าใจว่า โลกคืออะไร
ท่านอาจารย์: แน่นอน จึงไม่หวั่นไหว โลกไม่ใช่เรา แต่ก็แตก ไม่เห็นเดือดร้อน ถ้าโลกเป็นเราเดือดร้อนมากใช่ไหม?
อ.อรรณพ: เดือดร้อนมากครับ
ท่านอาจารย์: แต่ไม่ใช่เรา ไม่มีเราเลย น้ำจะท่วม ไฟจะไหม้ โลกจะแตก เป็นธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถจะไปบังคับบัญชาได้ เปลี่ยนแปลงได้ ห้ามได้ หยุดได้ เพราะว่าเป็นธรรม
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้ว แต่โลกก็ยังแตกเรื่อยๆ สำหรับคนที่มีความมั่นคงว่า เราเป็นโลก หรือโลกเป็นเรา ก็เดือดร้อน เราไปหมด โลกจะแตก โลกก็เป็นโลกไม่ใช่เรา เดือดร้อนไหม?
อ.อรรณพ: ตรงข้ามเลยครับ ที่ยังทุกข์ ก็เพราะคิดว่า โลกเที่ยง โลกไม่แตก เพราะยังไม่เห็นความแตกไปของโลก ก็เป็นทุกข์ครับ
เป็นทุกข์ เพราะยึดถือต่างๆ แต่แม้จะฟังเข้าใจ ไตร่ตรองในขั้นปริยัติ ก็พอที่จะเบาใจลงนิดหนึ่ง แต่ไม่ถึงจะโล่งไปเลย ไม่สามารถจะโล่งจริงๆ แต่น้อมนึกถึงปัญญาที่ประจักษ์ชัดในความแตกดับของสภาพธรรมจริงๆ
ไม่ตกใจหรือครับท่านอาจารย์ที่เห็นว่า ดับไปหมดๆ ไม่เหลือ เป็นภัยเป็นอะไร ไม่ตกใจหรือครับ?
ท่านอาจารย์: ไฟไหม้ในป่า ไม่ใช่ไฟไหม้บนศรีษะ เดือดร้อนไหม?
อ.อรรณพ: ไม่เดือดร้อนครับ
ท่านอาจารย์: เห็มไหม ถ้าไม่มีความเป็นเราสักอย่าง ทุกอย่างก็เป็นธรรมที่ต้องเป็นไปตามปัจจัย จะเป็นไปอย่างไรก็ไม่เคือดร้อน เพราะไม่ใช่เรา ไม่มีเรา หมดความเป็นเรา
อ.อรรณพ: สุขที่รู้จักโลก สุขที่รู้ว่า โลกขณะนี้คืออะไร และโลกขณะนี้กำลังแตกไปๆ เป็นความสุขด้วยปัญญา
ท่านอาจารย์: ขณะนี้ทุกคนเดือดร้อนใช่ไหม?
อ.อรรณพ: เดือดร้อนครับ
ท่านอาจารย์: ทุกวันใช่ไหม?
อ.อรรณพ: ทุกวันมีแต่ความเดือดร้อน
ท่านอาจารย์: ไม่รู้ว่า ไม่มีเรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป แตกไปแล้ว ไม่เหลือแล้ว ไม่ดีหรือ?
อ.อรรณพ: เดือดร้อนกับโลกครับ สัตวโลกก็เดือดร้อน
ท่านอาจารย์: แล้วโลกก็แตกไป ความเดือดร้อนก็หมดไป ไม่ดีหรือ?
อ.อรรณพ: ลึกซึ้งมาก แม้โลกโดยนัยยะของสัตว์โลก พอทราบช่าวการจากไปของพี่แก้วตา เราก็หวั่นไหวอยู่ช่วงหนึ่งเลยครับ เพราะว่าไม่เข้าใจโลกจริงๆ ไม่มีก็คิดว่ามีครับ
ท่านอาจารย์: ไม่มีคุณแก้วตา เป็นธรรมทั้งหมดที่แตกอยู่ทุกขณะ ไม่ใช่เพียงขณะที่จากไป
อ.อรรณพ: แม้พี่แก้วตาจะสมมติว่ายังอยู่ ยังไม่ตายโดยสมมุติ ก็ไม่มีพี่แก้วตาอยู่แล้ว ไม่มีเราไม่มีอะไร ยากที่สุดลึกซึ้งที่สุด
ท่านอาจารย์: สบายมาก ตายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่มีอะไร เพราะไม่ใช่เรา
อ.อรรณพ: แต่ก็ปรารภชีวิตที่เหลืออยู่ อุปมาเหมือนใบไม้ล่วงๆ ๆ กัน ใบหนึ่งก็คือเราก็จะต้องล่วงไป ชีวิตที่เหลือก็ปรารภให้คิดถึงประโยชน์ที่ควรที่จะเกิด
ท่านอาจารย์: ไม่ว่าโดยนัยยะใดๆ ไม่ใช่เรา จะไปไหนมาไหน จะคิดอะไร จะทำอะไร ไม่ใช่เรา ไม่เดือดร้อนเลย ใครจะรักใครจะชัง ไม่ใช่เรา ไม่เดือดร้อนเลยใช่ไหม?
อ.อรรณพ: เริ่มเห็นเงาๆ ของสุขที่รู้จักการเกิดขึ้น และดับไปของสิ่งที่มีในขณะนี้
ท่านอาจารย์: เพราะเข้าใจ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย นำมาแต่ความสุขมาให้เพราะเป็นความจริง ที่จะทำให้ละความติดข้องซึ่งนำมาซึ่งทุกข์ทุกอย่าง
อ.อรรณพ: เมื่อวานได้สนทนากับ อ.วิชัย แม้จะน้อมนึกถึงในข้อความ แม้ว่าพระโสดาบันซึ่งท่านไม่มี ความจำ ความคิด คือวิปลาสไปด้วยความจำ ความคิด ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ท่านไม่มีแล้ว ในสิ่งที่เป็นตัวตน และสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน ไม่มี
เพราะฉะนั้น ท่านไม่มีเลยที่จะคิดว่า เที่ยง จะจำว่าเที่ยงก็ไม่มี แต่ท่านก็ยังเห็นว่างามอยู่ เพราะยังไม่ใช่พระอนาคามี เพราะฉะนั้น แม้จะรู้ความเกิดขึ้น และดับไปว่าไม่เที่ยงอย่างมั่นคงกระทั่งแม้พระโสดาบัน แต่เยื่อใยมันยังเยอะมาก แม้รู้ว่าไม่เที่ยง แต่ก็ยังเห็นว่า น่าใคร่ น่าพอใจ เห็นว่าดีว่างามแม้รู้ความเกิดดับ รู้ระดับไหน แม้ระดับพระโสดาบับ มั่นคงในความเป็นอนิจจัง ไม่มีความจำ ความคิด ว่า เป็นอนิจจังอะไรเกิดขึ้นเลย แต่ท่านก็ยังมีความคิดว่าสิ่งที่เกิดดับนั่นแหละน่าพอใจ ลึกซึ้งมากๆ ครับ แต่ว่า ขั้นนั้นก็คือระดับสูง แต่ระดับก่อนหน้านั้น ก็โอ้โห..
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมแล้วเบาสบาย เข้าใจโล่งว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เกิดแล้วดับ ก็เป็นเพียงขั้นฟัง ขั้นไตร่ตรอง
ท่านอาจารย์: แล้วปัญญาทำให้เข้าใจถูกได้ว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะรู้ว่า เป็นสิ่งที่ติดข้อง เพราะสะสมมานานเท่าไหร่ก็ตาม แต่เมื่อประจักษ์มากขึ้น บ่อยขึ้น เพิ่มขึ้นตามเหตุตามปัจจัย การละคลายการที่เคยติดข้องในสิ่งที่เคยพอใจ จึงค่อยๆ หมดไปได้ต่มลำดับ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
อยู่เป็นสุขเพราะหมดตัณหา [สุทัตตสูตร]
ขอเชิญฟังได้ที่..
กิเลสเกิดขึ้นแม้คราวเดียวแก้หลุดได้ยาก
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพด้วยความเคารพค่ะ