การคลายเครียดในชีวิตประจำวัน

 
mahapilot
วันที่  24 ก.ย. 2550
หมายเลข  4905
อ่าน  3,746

พอดีไปเจอในเอกสารการแพทย์ และรู้สึกว่าทำไม่ยาก รวมถึงไม่ขัดกับหลักของพุทธศาสนา ในเอกสารระบุว่า เรานั้นเวลาเครียดมักรู้สึกมึนในหัวและอึดอัดในหน้าอก กระบวนการง่ายๆ คือ เวลาที่คนเราคิดมากนั้นจะมีผลต่ออารมณ์ของเราด้วย ความคิดอยู่ที่สมอง อารมณ์อยู่ที่หน้าอก เป็นการเชื่อมโยงระหว่างความคิดและอารมณ์ วิธีการมีอยู่ว่า เวลาที่เรารู้สึกเครียด คิดมาก ให้หายใจเข้ายาวๆ พร้อมกับหงายศีรษะไปด้านหลังช้าๆ จนสุดลมหายใจ แล้วค่อยๆ หายใจออก พร้อมกับก้มศีรษะลง (จะรู้สึกว่าเหมือนมีลมวิ่งเข้าไปในหัวแล้วไหลออกมาเวลาที่หายใจออก) จะรู้สึกได้ว่าความคิดที่อยู่ในหัว จะเบาลง ทำซ้ำสัก ๓ ครั้ง จะรู้สึกดีขึ้น ที่นี้มาถึง อารมณ์ ที่อยู่ในหน้าอก รู้สึกหงุดหงิด งุ่นง่าน ให้ทำแบบเดียวกัน คือ หายใจเข้า พร้อมกับ หงายศีรษะขึ้น แต่ให้เปลี่ยน ความรู้สึกจากลมที่วิ่งเขาไปในหัว ให้ลมวิ่งเข้าไปในหน้าอกแทน แล้วค่อยๆ หายใจออก พร้อมกับก้มศีรษะลง ให้ความรู้สึกว่าลมที่อยู่ในหน้าอกไหลออกมา ทำซ้ำ ซัก ๓ ครั้ง จะรู้สึกว่า โล่งๆ ในหน้าอก อารมณ์ที่เกิดนั้นคลายตัวลง จากที่ลองทำตามเอกสารรู้สึกว่าดี เวลาที่เครียดๆ กับงาน ทำสักไม่ถึง ๑ นาที ก็ทำให้รู้สึกสงบลงได้ เลยเอามาลงไว้ เผื่อมีใครสนใจ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 24 ก.ย. 2550

เป็นวิธีคลายความเครียดชั่วคราว เดี๋ยวกลับมาเครียดอีก แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้สาวกทั้งหลายอบรมเจริญปัญญา เพื่อดับกิเลสทั้งปวงอันเป็นสาเหตุของทุกข์ในวัฏฏะ ไม่ใช่เพียงความเครียดเท่านั้น ดังนั้นพระธรรมคำสอนของพระองค์อันประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงประเสริฐที่สุด สมดังที่ตรัสไว้ว่า บรรดามรรคทั้งหลาย อริยมรรคมีองค์ ๘ ประเสริฐสุดฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
PUM
วันที่ 24 ก.ย. 2550

เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ ๑ ครับ วิธีที่ท่านเจ้าของกระทู้แนะนำมา เป็นการคลายเครียดทางกายและเบี่ยงเบนความสนใจของจิตไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจต้องใช้พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งถ้าศึกษาและปฏิบัติด้วยความเข้าใจแล้วจะเป็นทั้งการบำบัดรักษา และยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ajarnkruo
วันที่ 24 ก.ย. 2550

หิวก็กิน กระหายน้ำก็ดื่ม เมื่อยล้าก็ผ่อนคลาย เกิดเป็นมนุษย์ก็แก้ทุกข์ทางกายกันไปวันๆ แต่ทุกข์ทางใจไม่ใช่อย่างนั้น จะรู้เท่าทัน (บ้าง) ได้ ก็ต้องศึกษาพระธรรมเพื่อเจริญปัญญาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 24 ก.ย. 2550

ธรรมะโอสถรักษาได้ทุกโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคเครียด ฯลฯ พระธรรมเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกทาง ทางมีอยู่คือ อริยมรรคมีองค์แปด ถ้าเราศึกษาธรรมะ ก็จะเป็นหนทางนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ในวันหนึ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 24 ก.ย. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เป็นการคลายเครียด ด้วยความรู้สึกที่สบาย ก็ไม่พ้นโลภะที่เขาติดตามมาตลอดนะ วิธีการคลายเครียดที่ดี คือ ขณะที่เข้าใจพระธรรม เบาด้วยกุศลและสะสมความเข้าใจเช่นกัน แม้การศึกษาธรรมที่ถูกต้อง ก็ต้องเบา เบาอย่างไร ไม่ใช่ต้องการรู้เยอะหรืออยากมีปัญญาเร็วๆ เพราะถ้าไม่เป็นไปตามนั้นก็หนัก เพราะโลภะอยากรู้ ต้องเข้าใจว่าเป็นธรรมะที่จะปรุงแต่งให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ เพราะจะทำให้เข้าใจก็ไม่ได้นี่ จริงไหมล่ะ ฟังพระธรรมดีที่สุดแล้ว ส่วนวิธีการคลายเครียดผมก็คือ นวดฝ่าเท้าพร้อมๆ กับฟังพระธรรม ผ่อนคลายด้วยความสบายที่เป็นอกุศล และพร้อมๆ กับการสะสมความเข้าใจพระธรรม อนุโมทนานะ

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
oom
วันที่ 25 ก.ย. 2550

เห็นด้วยค่ะว่าความเครียด ต้องรักษาด้วยธรรมโอสถของพระพุทธเจ้าเท่านั้น อย่างอื่นจะช่วยบรรเทาได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง ได้จากประสบการณ์ตรงของตัวเองที่ใช้หลักธรรมะในการแก้ปัญหาและคลายเครียด ปัจจุบันจะเป็นคนไม่ค่อยทุกข์ใจอะไรมากนัก ไม่ค่อยเครียดหรือถ้าเครียดก็จะเป็นไม่นาน ปรับใจได้เร็ว มองความเป็นไปของสิ่งต่างๆ เป็นธรรมะ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ทำให้ใจปล่อยวางได้เร็วมาก จากประสบการณ์ตัวเองที่เกิดขึ้น

๑. ให้เงินคนยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย เพราะสงสารเขามีความทุกข์ เขาก็ไม่ใช้คืน บอกไม่มี

๒. ซื้อคอนโด ก็เสียเงินดาวน์ เป็นแสนๆ เขาก็ไม่สร้าง และเบี้ยวเรา

๓. เล่นหุ้นของธนาคาร หุ้นก็ตก ขายไม่ได้ขาดทุน เงินนั้นก็เหมือนสูญเปล่า

๔. เล่นแชร์ ก็ถูกโกง เจ้ามือบอกลูกแชร์หนี ไม่มีเงินจ่าย ก็เสียอีก

๕. ปัจจุบันผ่อนบ้านอยู่เดือนละ ๑ หมื่นกว่าบาท ตอนแรกที่ซื้อบ้าน เจ้าของหมู่บ้านบอกว่าถ้าเอาบ้านเข้าโครงการ จะให้ค่าเช่าเดือนละ ๕๐๐๐ บาท รับประกันรายได้ให้เรา ซื้อได้ ๒ ปีกว่าๆ เจ้าของโครงการบอกไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าให้ ดิฉันก็ต้องเดือดร้อนอีก เพราะต้องผ่อนบ้านเพิ่มขึ้นไม่มีรายได้ตรงส่วนนั้นมาช่วย

ดิฉันทำงานมา ๓๐ ปี ปัจจุบันมีเงินฝากในธนาคาร ที่ไว้ใช้หมุนเวียนส่วนตัวประมาณ ๖ หมื่นบาทเท่านั้นเอง นอกจากนั้นมีเงินสหกรณ์ที่ส่งรายเดือนนิดหน่อย ซึ่งเวลาเดือดร้อนก็ต้องกู้ออกมาใช้ ถอนเหมือนธนาคารก็ไม่ได้

ดิฉันก็ใช้ธรรมะบำบัดใจตัวเอง ว่าชาติก่อนเราคงทำกรรมไว้มาก มาชาตินี้จึงต้องมาชดใช้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีอันสูญเสียไปจากเหตุปัจจัยต่างๆ ไม่มีเงินเก็บ แต่ทุกวันนี้ก็มีความสุขดี อยู่ตามอรรถภาพฐานะ เพราะใช้ธรรมะเป็นเพื่อน

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 24 มี.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ