ณ กาลครั้งหนึ่ง สนทนาธรรม ณ พระวิหารมายาเทวี สวนลุมพินี ประเทศเนปาล 25/11/67 ตอนจบ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกอย่างเกิดเพราะมีปัจจัย เพราะฉะนั้น เราจะมีปัจจัยแค่เราจะ ... กำลังใส่ใจอันนั้น แต่สภาพธรรมะอื่นปรากฏด้วยความเป็นอนัตตา แต่แม้เราจะ ... ก็เป็นอนัตตา ... เป็นสิ่งที่ละเอียดปกปิดความจริงซ่อนเร้นด้วยการไม่เคยได้ฟังความจริง
ถ้าไม่เคยได้ฟังความจริงจะเหมือนกับได้ฟังความจริงคือเดี๋ยวนี้คืออะไรไหม? อย่างเห็นเป็นสภาพรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นไม่รู้อื่น แต่รู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
ได้ยินเฉพาะเสียง ไม่ใช่รู้อื่นเลยและเดี๋ยวนี้ก็มีแข็ง ... ไม่รู้เลย แต่ขณะใดที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นละความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะที่แข็งตามปกติ มีสภาพรู้ที่กำลังรู้แข็งเกิดได้ ... ต้องเพราะความเข้าใจ
ถ้าไม่เข้าใจเลยจะไปพยายามให้ธาตุรู้ๆ แข็ง ... เป็นไปไม่ได้ ... ทั้งๆ ที่ธาตุรู้กำลังรู้แข็ง แต่สั้นมากและก็มีการรู้อย่างอื่นเร็วมาก จึงแยกไม่ออกว่าขณะนี้แต่ละหนึ่งๆ ต่อกันเร็วเหมือนพร้อมกัน แต่ถ้าพร้อมกันสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏไม่ว่าทางไหนปรากฏดีไม่ได้ เพราะไม่ใช่หนึ่ง เดี๋ยวนี้จะว่าอะไรปรากฏดี ... เสียงหรือเห็นหรือคิด?! ... ไม่ดีสักอย่างเพราะไม่ใช่หนึ่ง!!
ความเข้าใจค่อยๆ เริ่มสนใจในลักษณะที่เป็นธรรมะทีละหนึ่ง ฟังไปอีกแสนโกฏกัปจะไม่รู้เลยว่า ฟังแล้วเข้าใจทีละน้อยจนกระทั่งถึงวันนั้น ... จะแค่ไหนไม่มีใครรู้ขึ้นอยู่กับปัจจัย ... กำลังเป็นอย่างนั้นทุกขณะ ฟังไปก็รู้ว่าเป็นอย่างนี้แหล่ะ ... ยังไม่ได้ปรากฏดี ถ้าปรากฏดีแสดงความละเอียดของทุกคำที่เราพูด เช่น จิตเห็น จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่เห็น ... เท่านั้น ... เพราะฉะนั้น จิตจะไปรู้ความจริงว่าเห็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่งเป็นธาตุรู้ ตัวจักขุวิญญาณตัวเห็น ... ไม่รู้ ... ต้องมีธรรมะซึ่งเป็นความเข้าใจ ... ไม่ใช่เห็น ... เห็นเห็น ... เข้าใจเข้าใจ ... เข้าใจเห็นอะไรไหม?! เริ่มตรง ... เข้าใจเป็นธรรมะอีกหนึ่งซึ่งไม่ใช่จิต
เราจะเรียนสิ่งที่มี ... ศึกษาธรรมะไม่ใช่ที่อื่นเลย ... ตรงนี้ ... ธรรมะทั้งหมดเพราะฉะนั้น โอปนยิโก ... น้อมมาที่สิ่งที่มีจริงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นแข็ง เสียง ... จะเป็นอะไรตรงนี้ทั้งหมด!! แล้ววันนี้ใครรู้ตรงนี้บ้าง?! กำลังฟัง ... ใครรู้ตรงนี้บ้าง?! เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นธรรมะ แล้วแต่ปัจจัยจะเกิดขึ้น ยังไม่ถึงเวลาก็ยังไม่รู้ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ถ้าถึงเวลารู้ตรงนี้เอง ... ไม่เปลี่ยนเลย ... เหมือนเดิม ... แต่ว่าเป็นความเข้าใจที่รู้ตรงนั้น!!!
อย่างแข็ง รู้แข็งเหมือนของธรรมดาแต่เข้าใจลักษณะที่รู้ ... ไม่ใช่จิตที่รู้แข็ง ... ต้องเป็นลักษณะที่เข้าใจถูกต้องในความเป็นธาตุรู้กับในสภาพธรรมะที่ไม่ใช่ธาตุรู้ ... เหมือนเดิมทุกอย่างไม่ผิดปกติเลย ... ถ้าผิดปกติไม่มีทางถึง!! กั้นทันทีไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ... แต่ไม่ใช่เรา ... สติเกิดบ่อยๆ รู้ว่ารู้ตรงไหน ... แต่รู้ตรงนี้!!!
เห็นอยู่ไหน ได้ยินอยู่ไหน เสียงปรากฏตรงไหน ... ถ้าไม่มีการกระทบตรงนี้ ... จะรู้ตรงที่กระทบไหม?! เพราะฉะนั้น แม้แต่การรู้เสียง ก็รู้ว่าตรงที่ๆ ปรากฏปะปนไม่ได้เพราะรู้ตรงนี้!!! สามารถที่จะเข้าใจความละเอียดของแต่ละคำ แค่รู้ลักษณะที่ปรากฏเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์จนกระทั่งว่าขณะนั้นเป็นธาตุรู้ที่รู้ตรงสิ่งที่กระทบตา
ทุกอย่างเกิดจึงปรากฏ ถ้าไม่เกิด ... กระทบตาไม่ได้ ... กระทบหูไม่ได้เพราะฉะนั้น ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก่อนได้ยินไม่มีนะ ต้องกำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ... เกิดแล้วกระทบนะ จึงได้มีได้ยินเฉพาะเสียงที่กระทบในสิ่งที่กระทบ
ค่อยๆ แยกจากโลกกว้างใหญ่ตรงโน้นตรงนี้ มาอยู่ตรงที่ปรากฏโดยความเข้าใจ ถ้าเป็นความเข้าใจมั่นคงขึ้น ไม่มีการที่จะไปรู้ตรงอื่นเลย แต่ถ้ายังไม่มั่นคงเพิ่งเริ่มก็ยังรู้ว่าขณะนั้นไม่ได้รู้ตรงนี้!!!
เห็นตรงไหน?! รู้ตรงเห็นซึ่งต้องกระทบตา เพราะฉะนั้น อะไรๆ ทั้งหมดก็คือหนึ่งขณะเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ จะไม่เป็นของเก่าย้อนกลับมาเลย
"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ปัญญาเบิกบานได้เพราะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงทุกอย่างที่เป็นความจริง ไม่ว่าจะชาติไหนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ... นานเท่าไหร่ในอดีตและต่อไปข้างหน้าก็ไม่เปลี่ยน ... แต่กว่าจะรู้แต่ละหนึ่งไม่ใช่อันเก่าในชาตินี้ พรุ่งนี้ก็รู้อย่างอื่นแล้ว ... สิ่งที่กำลังปรากฏก็ดับหมดแล้วและก็ต้องมีสิ่งที่เกิดตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครไปทำ ... นั่นคือเริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตา กว่าจะละได้ต้องมีการที่วันนี้กำลังทานอาหารเป็นธรรมะหรือเปล่า?! ... รู้ไหม?! ... ไม่รู้ ... แต่เริ่มรู้ว่าตอบได้ว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น ถ้าขณะรู้ว่าเป็นธรรมะไม่ใช่จิตที่เพียงรู้แข็ง แต่เป็นสภาพที่สามารถเข้าใจถูกต้องว่าธาตุรู้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมจิตแต่ไม่ใช่จิต ทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ จะรู้เจตสิกแต่ละหนึ่งไหมถ้าไม่ปรากฏใครรู้ผัสสเจตสิกบ้าง?! ถ้าผัสสเจตสิกไม่ปรากฏ!!!
เราเป็นใคร ... เป็นผู้กำลังฟังพระธรรมและเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดในสังสารวัฏ ที่มีโอกาสได้ฟังและได้เข้าใจ มิเช่นนั้นจะไม่มีทางออกจากสังสารวัฏเลย
youtu.be/72JwKOOFQ1o?si=5HPWkaqZVI3Mxggv
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง