English-Hindi 14 December 2024

 
prinwut
วันที่  15 ธ.ค. 2567
หมายเลข  49103
อ่าน  139

English-Hindi 14 Dec 2024


- ความสงสัยเป็นธรรมประเภทไหน เดี๋ยวนี้มีไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ความสงสัยแล้วเดี๋ยวนี้มีอะไร

- ไม่ใช่ความมุ่งมั่นหรืออะไรเลยแต่เป็นการเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่เริ่มรู้เพียงเล็กน้อยหรือยังไม่รู้เลย ยังไม่ใช่ความมั่นคงแค่มั่นคงในคำ แล้วลักษณะของสิ่งที่กำลังมีหล่ะ ยังมั่นคงว่าเป็นคน ยังคงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นจำความจริงได้แม้เพียงเห็นที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ยังไม่มีความเข้าใจในสภาพที่กำลังเห็นว่าเป็นธรรมเลย เพราะฉะนั้นไม่ประมาทในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงแต่ละขณะ

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งเห็นเดี๋ยวนี้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงความจริงสูงสุดให้ทุกคนได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นศึกษาแต่ละคำของพระองค์ผู้ทรงประจักษ์แจ้งความจริงของทุกอย่าง

- ทุกคนได้ฟังคำ ได้ยินชื่อของธรรม แต่คืออะไร มีจริงไหม เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมด้วยความตรงจริงใจ ธรรมเป็นธรรมและพระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา จึงศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ

- เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่ใครเห็นแต่เห็นมีจริงๆ เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจเห็นที่กำลังมีขณะนี้เพิ่มขึ้นอีกได้ไหมจากการฟังจนกระทั่งถึงขณะที่เห็นแล้วเข้าใจว่า ไม่มีใครเลย นี้เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีในชีวิตแต่ละขณะๆ หรือเปล่า

- ไม่สงสัยว่า เดี๋ยวนี้มีเห็นแล้วควรศึกษาอะไร แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำที่สอนให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเพื่อละความคิดที่ยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

- ในแต่ละวันอะไรมีมากกว่ากันระหว่างอวิชชาความไม่รู้กับความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมี ควรจะมีความติดข้องในสิ่งที่มีเพิ่มขึ้นหรือควรมีน้อยลงหรือไม่ควรติดข้องเลย เพียงแต่รู้ว่ายังมี

- เห็นเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งไหม เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงหนทางเพื่อประจักษ์แจ้งควมจริงของเห็น เพื่อละความเห็นผิดที่ยึดเห็นว่าเป็นเรา

- ถ้าคนที่มีความรู้ศึกษาตามตำรารู้ว่า เห็นคืออะไรแต่ไม่มีความเข้าใจเลยว่า ความจริงของเห็นแต่ละขณะเกิดแล้วดับ แล้วอะไรเป็นคุณความดี อะไรเป็นความจริง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสัจจบารมีตั้งแต่ต้นที่จะตรงต่อความจริง

- เข้าใจลักษณะของเห็นที่กำลังมีขณะนี้ทันทีได้โดยง่ายไหม เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของการกล่าวธรรมเพื่อช่วยผู้อื่นให้มีการไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงว่า จิตมีเท่าไหร่ เจตสิกมีเท่าไหร่ ไม่ใช่เพื่อให้จำแต่เพื่อละความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นเป็นการช่วยผู้ฟังตั้งแต่เริ่มต้นที่จะเป็นผู้ตรงต่อความจริง

- เพราะฉะนั้นการเข้าใจความจริงในแต่ละคำที่ส่องให้เห็นถึงความจริงซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ความเข้าใจนั้นเองจะปรุงแต่ให้มีความละเอียดรอบคอบในการศึกษาแต่ละคำของพระองค์

- สิ่งที่มีจริงมีจริงๆ แต่ใครรู้ความจริงนั้น ใครรู้ความต่างของความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นทำกิจเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ มีสภาพธรรมเพียงอย่างเดียวที่สามารถรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ สามารถที่จะมีขณะที่รู้แจ้งในสีแดงและรู้แจ้งในสีน้ำตาลไหม เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้เลยหรือว่าสีแดงต่างจากสีน้ำตาล

- เพราะฉะนั้นทุกคนทราบใช่ไหมว่า สีแดงเป็นสีแดงและสีแดงไม่ใช่สีน้ำตาล และถ้าไม่มีขณะที่สีแดงปรากฏให้รู้ ไม่มีขณะที่สีอื่นปรากฏเป็นสีอื่นให้รู้ จะรู้ไหมว่าสีแดงไม่ใช่สีน้ำตาล แต่ไม่มีใครรู้ว่า อะไรที่รู้สีแดง อะไรที่รู้สีน้ำตาลเพียงแค่รู้ว่าต่างกัน เพราะฉะนั้นขณะที่รู้สีน้ำตาลไม่ใช่ขณะเดียวกันกับขณะที่ชอบหรือไม่ชอบสีน้ำตาล และขณะที่รู้สีน้ำตาลเกิดขึ้นแล้วดับทันทีไม่กลับมาอีกเลยจริงไหม ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงแต่ละขณะในชีวิตประจำวัน

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นอะไร เริ่มศึกษาความจริงแต่ละขณะ อะไรเห็น เพราะฉะนั้นเพียง ๑ ขณะเท่านั้นใช่ไหมที่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นเกิดไหม เห็น “เห็น” ไหม เพราะฉะนั้นเห็น ๑ ขณะหมดแล้ว ขณะที่กำลังเห็นไม่ยั่งยืนเลย เห็นที่กำลังเห็นเกิดขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นความจริงเป็นความหมายของคำว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา แล้วจะเป็นใครหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร ในเมื่อดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจว่า ชีวิตคืออะไร เพียงขณะที่รู้สิ่งที่ปรากฏ ๑ ขณะแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 15 ธ.ค. 2567

- มีอาช่าไหม มีอาคิ่ลไหม มีโต๊ะไหม เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นธรรมและความเข้าใจนี้เองจะค่อยๆ ละความคิดที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ละเล็กทีละน้อยว่า เห็นอะไร ได้ยินอะไร หรือเป็นใครที่ได้ยิน หรือเป็นใครที่กำลังพูด ฯลฯ แต่ละขณะที่ได้ฟังอย่างนี้เป็นบารมีที่จะค่อยๆ อบรมสะสมอย่างยาวนานจนกระทั่งถึงความเป็นสัมมาสัมพุทโธเพื่อประแจ้งความจริงใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นเมื่อไรก็ตามที่เคารพในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพในพระมหากรุณาคุณของพระองค์ นั่นคือความเข้าใจถูกในความจริง เป็นความนอบน้อมในพระคุณของพระองค์ซึ่งปรุงแต่งให้มีการเคารพพระธรรมเพิ่มยิ่งขึ้น

- คุณต้องตายไหม ตายเมื่อไหร่ ตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะตายเข้าใจความจริงแค่ไหนหรือไม่เข้าใจเลย เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเข้าใจว่า ขณะที่มีค่าที่สุดในชีวิตในแสนโกฏกัปป์คือ ขณะที่เข้าใจความจริง

- โอกาสที่จะเข้าใจพระธรรมคำสอนนั้นไม่ได้มีสำหรับทุกคน แต่เป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ได้สะสมความเข้าใจมาจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่งสืบต่อจนกระทั่งถึงขณะนี้ การได้เป็นเศรษฐีร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองมีเกียรติยศชื่อเสียงกับการได้โอกาสเข้าใจความจริง อะไรมีค่ามากกว่ากัน เพราะฉะนั้นเข้าใจว่า ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่งจึงต้องอบรมเป็นเวลาอย่างยาวนานกว่าที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นชีวิตในชาตินี้เป็นไปเพื่อค่อยๆ เข้าใจทีะเล็กทีละน้อยในความลึกซึ้งของธรรม ตัวอย่างเช่น เห็นขณะนี้เป็นเราเห็นแต่ความจริงไม่ใช่เราเป็นขณะที่เพียงเห็นเท่านั้น

- ความไม่รู้ไม่สามารถเข้าใจความจริงของเห็นขณะนี้ได้เลย นอกจากไม่เข้าใจเห็นแล้ว ความไม่รู้เข้าใจความจริงอะไรได้ไหม เพราะฉะนั้นวันนี้ความไม่รู้มีมากแค่ไหนตั้งแต่เมื่อเช้าจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นรู้ดีกว่าไม่รู้เพราะรู้ว่า ความไม่รู้สามารถจะละได้ด้วยความเข้าใจถูกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่อให้เริ่มเข้าใจความจริงของชีวิตว่า อะไรจริงและอะไรไม่จริง ถ้าเราไม่กล่าวถึงความจริงก็จะไม่มีทางความเข้าใจความจริงที่กำลังมีขณะนี้ได้เลย ความตรงต่อความจริงของสิ่งที่กำลังงมีขณะนี้สำคัญอย่างยิ่งเพราะสามารถเป็นปัจจัยที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ลึกซึ้งซึ่งแม้กำลังมีขณะนี้ก็ไม่รู้

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจมีพอที่จะเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังมีขณะนี้ได้ไหม บางคนคิดเพียงว่า ควรรู้ความจริงของสิ่งที่มีว่า เป็นธรรมแต่ไม่มีความเข้าใจในหนทางที่จะอบรมให้เกิดความเข้าใจถูกเพื่อปรุงแต่งให้ถึงขณะที่สามารถตรัสรู้ความจริงขณะนี้

- เริ่มมีความะเอียดรอบคอบที่จะพิจารณาไตร่ตรองว่า ความไม่รู้ที่มีกำลังสะสมจนมีกำลังมากมายมหาศาลขนาดไหน จากการที่สะสมในแต่ละวัน ในแต่ละขณะ ในแต่ละชาติ ในแสนโกฏกัปป์ แล้วจะให้หมดไปอย่างรวดเร็วทันทีได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ มีเพียงความเข้าใจถูกซึ่งเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะค่อยๆ ละความคิดทีละเล็กทีละน้อยที่ยึดถือว่า เป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดคือ อัตตา ไปได้

- เราอยู่ในโลกของอัตตามายาวนานแค่ไหน เห็นไหมว่านี้คือความจริงและความเข้าใจอย่างนี้เป็นบารมีที่ค่อยๆ ส่องให้เห็นความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏดีตามความเป็นจริง ถูกไหม

- โลกของอัตตาคือแต่ละขณะก่อนที่จะสามารถละจากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดของสิ่งที่กำลังมีไปสู่การประจักษ์แจ้งความจริงว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจากนี้ไปมีเหตุมีปัจจัยที่จะได้ฟังความจริงจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจว่า ตรงต่อความจริงเดี๋ยวนี้ว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอัตตาหรืออนัตตา

- ด้วยเหตุนี้เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเข้าใจถูกว่า แต่ละคำของพระองค์ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่อย่างที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นความเข้าใจยังห่างไกลกับความเข้าใจของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อความจริงแค่ไหน เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมด้วยความเคารพสูงสุดเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงไม่ว่าจะเป็นเห็นหรือสภาพธรรมอื่นๆ ที่มีในชีวิตว่า สามารถประจักษ์แจ้งได้แต่ต้องใช้เวลาอย่างยาวนานมาก

- เดี๋ยวนี้เห็นเกิดไหม เห็นดับไหม แต่ยังไม่เข้าใจขณะที่เห็นเกิดดับใช่ไหม ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงเพื่อรู้ความจริงเป็นสาวกของพระองค์คือ ผู้ที่ดำเนินตามรอยพระบาทของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเหตุนี้พระองค์ได้ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ สามรอบไม่ใช่เพียงรอบเดียว

- เพราะฉะนั้นเราไม่ได้กำลังศึกษาอริยสัจจะหรือ หรือว่าเรากำลังกล่าวถึงอริยสัจจะทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นรอบแรกคือความเข้าใจถูกว่า อะไรเป็นทุกข์ที่เป็นทุกขอริยสัจจะเป็นสัจจะที่ ๑ ในอริยสัจจ์ ๔ เพราะฉะนั้นเราศึกษาสภาพธรรมที่มีลักษณะต่างๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเป็นจิต

- ขณะที่เกิดเป็นขณะแรกมีจิตไหม ขณะแรกที่เกิดในชาตินี้เป็นทุกข์ไหม เพราะอะไร (เพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป) มั่นคงในความจริงไม่เปลี่ยนเพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นต้องดับไม่ใช่แค่จิตที่ดับ จริงไหม เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นเองได้ไหม แล้วจิตเกิดขึ้นได้อย่างไร หมายความว่า ต้องมีสภาพธรรมอื่นที่เกิดพร้อมกับจิตและเป็นปัจจัยแก่กันและกันให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยภาษาบาลีใช้คำว่า “สังขารธรรม”

- เพราะฉะนั้นอาช่าคืออะไร (เป็นบัญญัติ) ไม่ใช่ค่ะ ถ้าปราศจากสิ่งที่มีจริงจะมีอาช่าไหม เพราะฉะนั้นเรากล่าวว่า เป็นคุณอาคิ่ลและเป็นคุณอาช่าเพื่อให้รู้ว่าหมายถึงใคร ใช่ไหม

- ไม่ลืมว่าสิ่งที่มีจริงต้องจริงและนั่นคือความหมายของคำว่า “ธรรม” ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จริงมีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงหลากหลายจึงต้องใช้คำเพื่อให้รู้ว่าหมายถึงอะไร เช่น เมื่อพูดถึงการเห็นเราก็รู้ว่าไม่ได้หมายถึงความคิดหรือการได้ยิน แต่เราคิดถึงสภาพที่กำลังเห็น ถูกไหม เพื่อให้รู้ว่ากล่าวถึงอะไรเท่านั้นแต่ไม่สามารถเปลี่ยนลักษณะของสิ่งที่มีจริงได้เลย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 15 ธ.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นอาช่าคืออะไร (เป็นนามรูป) แต่ยังตรง ยังไม่ชัดเจน ต้องพิจารณาละเอียดรอบคอบว่าอะไรคืออาช่าเพื่อที่จะละความเห็นผิดที่ยึดสิ่งที่มีว่าเป็นอาช่า เพราะฉะนั้นอาช่าคืออะไร ไม่ใช่แค่ตอบว่า เป็นสิ่งที่มี หรือเป็นนามเป็นรูป พิจารณาเพิ่มอีกได้ไหม ตรงขึ้นอีกได้ไหม (เป็นสัญญา)

- ไม่ใช่ค่ะ สัญญาปรากฏเป็นอาช่าหรือ เห็นไหมต้องตรงแต่ละขณะเพราะลึกซึ้งอย่างยิ่งเพื่อที่จะไม่ลืมความจริง เป็นการเตือนให้คุ้นเคยกับลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพราะฉะนั้นอาช่าคืออะไรเดี๋ยวนี้ (เป็นอัตตา) (ตอบได้ไหมว่าอาช่าเป็นสังขารธรรม) นั่นเป็นชื่อเป็นคำ แต่สังขารธรรมอะไรทีละหนึ่งเพื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แล้วจะเป็นอาช่าไปได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอาช่าไหมหรือเห็นไม่ใช่อาช่า จริงไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นคืออะไร เป็นอาช่าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นพูดได้ไหม แต่คุณคิดว่าอาช่ากำลังพูด เห็นไหมว่าผิดแค่ไหน เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อรู้ความจริงว่า แต่ละขณะความไม่รู้มีมากมายมหาศาลแค่ไหนในแสนโกฏกัปป์และต่อๆ ไป ถ้าไม่มีแต่ละขณะที่พิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อค่อยๆ ละความเห็นผิดทีละเล็กทีละน้อยในขณะนี้ก่อนที่จะไม่มีอาช่า หรือเก้าอี้ ฯลฯ เป็นโลกของอัตตาที่จะต้องรู้เพื่อละคลายความติดข้องเพื่อละความคิดว่าเป็นเราจนกว่าสิ่งที่ปรากฏในแต่ละวันไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอีกต่อไป

- นั่นเป็นปัญญาของการตรัสรู้ความจริง เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริง เข้าใจความจริง ตรงต่อความจริง เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีขณะนี้ทีละ ๑ ตามความเป็นจริงจนกว่าปัญญาจะประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะละความคิดว่าเป็นเรา ต้องเป็นการเข้าใจในรอบที่สองและรอบที่สามที่ซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง ก่อนที่จะเป็นขณะที่เข้าใจความจริงซึ่งถูกความไม่รู้ปกปิดไว้จนกว่าจะค่อยๆ เบาบางลง

- เห็นไหม เดี๋ยวนี้เป็นอาช่าที่กำลังพูด ต้องเป็นความตรงต่อความจริงจากการได้ยินได้ฟังไตร่ตรองพิจารณาจนมั่นคงยิ่งขึ้นเป็นอธิษฐาบารมี มั่นคงต่อความจริง มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกในอริยสัจจะในขั้นที่สูงขึ้นเป็นขั้นที่สองจนถึงขั้นที่สาม

- เพราะฉะนั้นเข้าใจขณะที่มีค่าอย่างยิ่งที่กล่าวถึงความจริงเพื่อปลูกฝังความเข้าใจถูกที่ค่อยๆ สะสมอบรมไปในแต่ละขณะที่เข้าใจ ต้องเป็นขณะที่เข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้นที่เป็นหนทางเป็นอริยสัจจะที่ ๔ ในรอบแรก เพราะฉะนั้นต้องตรงต่อความจริงเดี๋ยวนี้แต่ละขณะเพื่อเข้าใจว่า ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งใดแต่เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เพราะไม่ใช่ใคร มั่นคงเพิ่มขึ้นในความเป็นอนัตตาของธรรม

- เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอ่านตำรามากมายแค่ไหน ความเข้าใจความจริงของลักษณะสภาพธรรมว่า เป็นอนัตตามีอยู่ตรงนั้นพร้อมที่จะปรุงแต่งให้มีความเข้าใจความจริงละเอียดลึกซึ้งเพิ่มยิ่งขึ้น

- เพียงได้ยินคำว่า สามรอบ แต่ต้องเป็นความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า สิ่งที่กำลังมีคืออะไร เราเพียงกล่าวให้ได้ยินเท่านั้นแต่ยังไม่มีความเข้าใจว่า นี้เป็นเพียงรอบแรกเท่านั้นยังไม่ต้องกล่าวถึงรอบที่สาม ด้วยเหตุนี้มีหลายท่านอยากจะช่วยให้เข้าใจเร็วๆ แต่เป็นไปไม่ได้เพราะว่า อวิชชาที่สะสมมาหนาเหนียวแน่นมาก เพราะฉะนั้นคำไม่ช่วยแต่ต้องเป็นความเข้าใจ เพราะฉะนั้นยังไม่เข้าใจว่า รอบแรกหมายถึงอะไร ดังนั้นให้เข้าใจก่อนและจะรู้ด้วยตนเองว่า นี้เป็นเพียงรอบแรกเท่านั้น

- ด้วยเหตุนี้เมื่อเรากล่าวถึงคำสอนขอพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงต้องเป็นไปด้วยความเคารพสูงสุด มิฉะนั้นก็ง่ายมากเป็นเพียงแค่คำแต่ความเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งจะเป็นปัจจัยให้มั่นคงในความจริงที่กำลังปรากฏแแม้ยังไม่มีความเข้าใจในความจริงนั้นเลย จึงศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของอริยสัจจจะว่าเป็นธรรมเป็นความจริง แต่ว่ายังไม่ได้ประจักษ์แจ้งเป็นการศึกษาลักษณะของสภาพธรรมแต่ความเข้าใจค่อยๆ สะสมไปทีละน้อยมากจนกระทั่งเป็นความเข้าใจความต่างของความเข้าใจในแต่ละลำดับขั้น ไม่ใช่ไปพยายามที่จะเข้าใจในขั้นที่สามด้วยหนทางอื่นโดยไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ความเข้าใจก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเพียงการคิดสรุปเอาเองว่า เป็นความรู้รอบแรกเพราะเกิดแล้วดับ เพียงเท่านี้พอไหมที่จะละ เพราะเหตุว่าความจริงยังไม่ได้ถูกเปิดเผย ความจริงยังไม่ได้ปรากฏ ด้วยเหตุนี้จึงซาบซึ้งยิ่งขึ้นในคำว่า “สิ่งที่ปรากฏ ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง” ถูกต้องไหม

- เริ่มด้วยเดี๋ยวนี้มีอะไร จิต คือสิ่งที่มีจริงตั้งแต่ขณะแรกของชาตินี้ที่เกิดดับสืบต่อเป็นสภาพรู้ที่รู้สิ่งที่ปรากฏเพราะเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏแล้วดับ เข้าใจมั่นคงในความจริงต่อๆ ไปไม่ว่าในขณะที่กำลังหลับสนิท ขณะนั้นเป็นจิตไหม เข้าใจมั่นคงตั้งแต่ต้นว่า ตั้งแต่เกิดจนตายไม่ปราศจากจิตเลยแต่สิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้มีเพียง ๖ ทางเท่านั้น หมายความว่าอะไร หมายความว่ามีธรรมอื่นอีกแต่ยังไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏปรากฏได้แต่ละทางเท่านั้น

- ยกตัวอย่างเช่น จิตเป็นสภาพธรรมที่กำลังรู้ขณะนี้ จิตปรากฏไหม ต้องตรงต่อความจริง เห็นขณะนี้ปรากฏไหม (ปรากฏแต่ยังไม่เข้าใจ) ​ไม่ใช่ค่ะ ฟังใหม่ดีๆ เห็นปรากฏไหม เห็นไหมต้องไตร่ตรองละเอียดรอบคอบ เมื่อเรากล่าวถึงสิ่งที่ถูกรู้ก็คิดว่ารู้แล้วแต่ความจริงยังไม่มั่นคงพอ แต่เมื่อมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้เลย

- เห็นกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ ได้ยินกำลังได้ยินสิ่งที่ปรากฏ เห็นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาตลอดชีวิตแม้เดี๋ยวนี้ เห็นปรากฏไหม สอดคล้องกับที่ทรงแสดงว่า สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเลย เพราะฉะนั้นความเป็นเราลึกแค่ไหนในขณะที่กำลังเห็น เพราะว่าเห็นไม่ได้ปรากฏ และเห็นไม่สามารถปรากฏดีกับความไม่รู้ ความไม่รู้ไม่สามารถรู้ความจริงได้เพราะความไม่รู้ไม่สามารถศึกษาและเข้าใจความจริงได้ มีเพียงความเห็นถูกเข้าใจถูกที่สามารถค่อยๆ เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยไปตามลำดับขั้นได้เท่านั้น เริ่มเข้าใจความจริงมั่นคงจนกระทั่งเป็นปัจจัยให้ถึงขณะที่เข้าใจในขั้นที่สองโดยความเป็นอนัตตา โดยไม่หวังมาก่อนว่า สภาพธรรมอะไรจะเป็นที่ตั้งให้สติระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ

- ถ้าไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ย่อมเห็นผิดที่จะไปพยายามทำสิ่งต่างๆ พยายามไปนั่งสมาธิเพื่อให้เข้าใจ ฯลฯ โดยไม่มีความเข้าใจว่า สมาธิคืออะไรและหมายความว่าอย่างไรเพราะเป็นภาษาบาลี คำว่า สมาธิ ไม่ใช่ความหมายว่า เป็นการนั่งสมาธิเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 15 ธ.ค. 2567

- นี้เป็นศึกษารอบแรกทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นไม่ใช่สิ่งอื่น ตัวอย่างเช่น ความเข้าใจเข้าใจในสิ่งที่มีขณะนี้ว่า เป็นเห็นหรือว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏ ย่อมมีความแตกต่างกัน การศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่งเป็นหนทางที่แสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

- มิฉะนั้นไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ง่ายมากแค่คิดแล้วกล่าวโดยไม่มีความเข้าใจ ไม่มีการประจักษ์แจ้ง ภาษาไทยใช้คำว่า “ตรัสรู้”​ หมายถึงการประจักษ์แจ้งความจริง แต่จะตรัสรู้ความจริงอะไรถ้าไม่ใช่สิ่งที่กำลังมีขณะนี้เช่น เห็น เพราะเห็นกำลังมีจริงๆ ขณะนี้ ถ้าไม่มีปัจจัยเห็นจะเกิดขึ้นเห็นไม่ได้

- ศึกษาทุกคำของพระองค์เพื่อเข้าใจความจริงว่าเป็นเพียงธรรมเท่านั้น แม้แต่เห็นถ้าไม่มีปัจจัยเห็นก็เกิดไม่ได้ และบางขณะเห็นสิ่งที่น่าพอใจย่อมต้องมีปัจจัยแต่ว่าบางขณะทำไมเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ใครทำให้เป็นเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาเพื่อเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทุกประการที่กำลังปรากฏไม่ใช่แค่อยู่ในหนังสือ เพราะเหตุว่าเมื่อเราอ่านก็มีความเข้าใจในขั้นเรื่องราวของธรรม แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เป็นธรรมอะไร จากที่ได้ศึกษาตามตำราแล้วมีความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ไหมเพราะธรรมไม่ได้อยู่แต่ในตำรา ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาด้วยความเคารพเพิ่มขึ้น

- ไม่มีประโยชน์ที่จะไปบอกคนอื่นว่า มีจิตเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่ ขันธ์มีกี่อย่าง มีอายตนะอะไรบ้าง ฯลฯ โดยที่ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย ทีละน้อยๆ เป็นสัจจธรรมที่ไม่สามารถรู้ได้ด้วยความไม่รู้แต่รู้ได้ด้วยการที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่ไม่ปรากฏ เห็นไม่ได้ปรากฏมีแต่สิ่งที่ถูกเห็นที่ปรากฏโดยไม่เคยคิดถึงเห็นได้ยินที่กำลังมี แล้วจะละความคิดว่าเป็นเราเห็นเราได้ยินเดี๋ยวนี้ได้อย่าง ต้องตรงต่อความจริงตั้งแต่ต้น

- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจะสนทนาอะไรเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเพิ่มขึ้นทีละน้อยเพราะละเอียดมาก เพราะกำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แต่ยังไม่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มี ยังไม่เข้าใจความจริง

- อะไรที่มีเสมอๆ (อวิชชา) เดี๋ยวนี้มีความเข้าใจเห็นบ้างไหม ยังไม่มีความเข้าใจในเห็นแค่กำลังศึกษาเรื่องเห็น ถูกไหม เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นกุศลอวิชชาเกิดไม่ได้เพราะมีเจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้นมากมายซึ่งเราค่อยๆ ศึกษาไปแต่ละเจตสิก

- แต่เราต้องรู้ว่า เมื่อไหร่เป็นอวิชชา เดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้จักไม่เข้าใจเห็น ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงอาสวะ ๔ กิเลสเป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศลมีหลายระดับ เช่น ความติดข้อง ความไม่พอใจ เพียงแค่รู้สึกคันก็ไม่พอใจแล้ว เป็นธรรมประเภทโทสะความไม่ชอบ เพราะว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจแต่ถ้าโทสะมีกำลังก็ไม่ใช่แค่ไม่ชอบแต่เป็นความโกรธซึ่งเป็นปัจจัยให้สามารถล่วงทุจริตทางกายทางวาจาได้ ร้ายกาจมาก

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมในชีวิตประจำวัน มิฉะนั้นจะไปเข้าใจธรรมตอนไหนถ้าไม่ใช่ธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบทีละน้อยๆ เพิ่มขึ้น มิฉะนั้นก็เป็นเพียงการกล่าวคำโดยปราศจากการพิจารณาใคร่ครวญซึ่งยังไม่พอที่จะเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้ง ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้เห็นที่มีเกิดแล้วดับแล้ว เห็นเกิดขึ้นแต่ไม่เข้าใจเห็นแล้วเห็นก็ดับไปและก็ยังไม่เข้าใจ

- เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วไม่ขาดสายจึงยังไม่สามารถที่จะรู้อย่างนั้นเดี๋ยวนี้ได้ แต่เราสามารถที่จะศึกษาให้เข้าใจมั่นคงขึ้นเป็นปัจจัยให้ถึงขณะที่เริ่มเห็นความต่างของสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ถูกเห็น มิฉะนั้นจะถึงขณะที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมเพื่อเข้าใจความต่างของขณะที่เห็นกับขณะที่ได้ยินได้อย่างไร ถ้าปราศจากความเข้าใจถูกก็ไม่สามารถที่จะเห็นความต่างของแต่ละขณะของสภาพรู้ที่เป็นสภาพธรรมที่ต่างกันตามเหตุตามปัจจัย

- เพราะฉะนั้นการเข้าใจความจริงซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งไม่ใช่เพียงจำคำหรือพยายามไปหาคำ หรือพยายามไปหาว่าอะไรเป็นความต่างของอายตนะกับขันธ์ อริยสัจจะ ปฏิจสมุปบาท เป็นต้น เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละขณะ คำสอนของพระองค์เป็นเพียงหนทางที่จะนำไปสู่การเข้าใจความจริงทีละน้อยมาก

- เพราะฉะนั้นพายุแห่งความไม่รู้และความติดข้องที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวันมีมากมายมหาศาลเป็นอาสวะแต่ไม่รู้เลย สิ่งที่พอรู้ได้ต้องเกิดขึ้นมีกำลังเป็นกิเลส เป็นนิวรณ์ เห็นไหมสภาพธรรมกำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้แต่ไม่รู้แต่กลับไปคิดถึงชื่อนึกถึงคำซึ่งไม่สามารถนำไปสู่ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ซึ่งเกิดดับเร็วมากได้

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏปรากฏโดยความเป็นนิมิตคือ เป็นเครื่องหมายของสิ่งที่กำลังมี เช่น เห็นขณะนี้ที่เกิดดับมากมายหลายขณะ และนี้คือ การศึกษาธรรมเพราะสิ่งที่มีจริงกำลังมีให้ศึกษาขณะนี้ รอบแรกคือการฟังคำจริงที่ไม่ใช่แค่เห็นแต่มีได้ยินด้วยแต่ต่างขณะต่างปัจจัย ทั้งหมดนี้ค่อยๆ สะสมเป็นปัจจัยทีละน้อยที่จะค่อยๆ ละว่า เห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงสูงสุดและนี้คือ การศึกษาธรรม มิฉะนั้นไม่ใช่การศึกษาธรรมแต่เป็นแค่เพียงการศึกษาคำจำชื่อ

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เดี๋ยวกำลังศึกษาธรรมไหม ขณะที่มีค่าที่สุดก่อนที่จะตายซึ่งจะตายเมื่อไหร่ก็ตายได้ เห็นค่าของขณะที่ไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงินแต่เป็นขณะที่เคารพสูงสุดในคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นขณะที่เคารพนอบน้อมต่อพระมหากรุณาคุณของพระองค์ที่ทรงเกื้อกูลผู้อื่นด้วยคำจริง มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้เลย

- สังสารวัฏฏ์คืออะไร คือกิเลสที่เกิดขึ้นที่ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ เป็นปัจจัยให้กระทำกรรมและกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากจากชาติหนึ่งไปสู่ชาติหนึ่งซึ่งเป็นความจริงอย่างยิ่ง

- อาช่าจะเกิดเป็นแมวหรือเป็นงูชาติหน้าได้ไหม เพราะฉะนั้นความเข้าใจจากการได้ยินได้ฟัง พิจารณาไตร่ตรองไม่ใช่เพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียวแต่เป็นการสะสมความเข้าใจที่สืบต่ออยู่ในจิตทีละเล็กทีละน้อยแต่ละขณะ ค่อยๆ เป็นความเข้าใจความจริงที่เพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ อีกยาวไกล และเป็นหนทางที่ละความเป็นเรา

- เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าที่สุดคือ ขณะที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ถูกไหม เพราะฉะนั้นเราสามารถพูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น สิ่งที่มีจริงมีหลากหลายไม่ว่าจะในโลกไหนๆ ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงที่เป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้ โลกอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏเพราะเหตุว่าไม่สามารถจะรู้ได้เลย สภาพรู้อีกอย่างหนึ่งไม่สามารถรู้อะไรเพราะเพียงแข็ง แข็งไม่รู้อะไรทั้งสิ้น

- เพราะฉะนั้นไม่ว่าในโลกไหนๆ ก็เป็นเพียงรูปและนาม ยกเว้นบางภพภูมิ เช่น อรูปพรหมภูมิมีแต่นามไม่มีรูปเป็นไปตามเหตุปัจจัยแต่เพราะยังมีอกุศลที่ยังละไม่ได้จึงต้องเกิดอีกในชาติต่อไป ในอบายภูมิเป็นภูมิที่มีแต่ความทุกข์ร้อนยากลำบากไม่มีใครทำให้ แต่เกิดจากการกระทำของตนเองด้วยความไม่รู้และความติดข้องให้เป็นไปอย่างนั้น แต่ทันทีที่ความตายมาถึงก็ไม่เหลือไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 15 ธ.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นเคารพสูงสุดในแต่ละคำที่มาจากการตรัสรู้เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้เข้าใจความจริงเพื่อพ้นจากสังสารวัฏฏ์เพื่อพ้นทุกข์ซึ่งเป็นอริยสัจจะแรก เพราะฉะนั้นอีกครั้งหนึ่งอะไรเป็นอริยสัจจะแรกในอริยสัจจ์ ๔ ธรรมแรกที่ของอริยสัจจธรรม คือ ทุกขอริยสัจจะ ไม่ใช่เพียงคำ แต่เป็นความจริงที่สามารถรู้ได้ อย่างเช่น ความรู้สึกเจ็บเกิดขึ้นแล้วดับ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นอีก ตราบใดที่ยังมีเหตุคือ ความไม่รู้ละความติดข้องในสังสารวัฏฏ์ ใครจะพ้นจากวัฏฏ์ไปได้ถ้าไม่รู้ความจริงว่า ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัยตามสะควรแต่ละขณะ

- ใครจะรู้ว่า ความรู้ความเข้าใจในระดับการฟังนี้จะค่อยๆ ละความยึดถือที่คิดว่าเป็นเราเห็น เป็นเราได้ยิน เป็นเราชอบไม่ชอบที่จะเป็นหนทางไปสู่การละความไม่รู้ ความติดข้องและอกุศลทุกประการ ค่อยๆ เห็นโทษ เห็นความน่ารังเกียจของธรรมที่เป็นอกุศลว่า ควรสะสมให้มีเพิ่มขึ้นไหม หนทางเดียที่จะเห็นโทษของอกุศลทุกประการคือ การเข้าใจความจริง เข้าใจอริยสัจจ์ ๔​ ไม่มีสิ่งใดเที่ยงยั่งยืนเลย

- จิตมีเท่าไหร่ หรือเราจะสนทนาเพื่อเข้าใจจิตที่กำลังมีทีละหนึ่ง เดี๋ยวนี้มีจิตอะไร มีเห็น มีได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และเราสามารศึกษาจิตอื่นๆ ได้ด้วยทีละน้อย เพราะชื่อเป็นเพียงชื่อไม่สามารถช่วยให้ละคลายความยึดถือในจิตได้

- ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง มีเพียงขณะเดียวเท่านั้นที่เป็นความเข้าใจถูกในความจริงที่สามารถจะค่อยๆ ละสภาพธรรมที่เป็นอกุศลซึ่งสะสมมานานหลายแสนโฏกกัปป์ได้ เพราะฉะนั้นคำสอนขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปาฏิหาริย์ที่สามารถละความไม่รู้ ละความติดข้องและอกุศลทุกประการ อกุศลเป็นสภาพที่น่ารังเกียจเป็นภัย เริ่มค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ห่างจากอกุศลเท่าที่จะเป็นไปได้ตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสม

- มีคำถามอะไรไหม เดี๋ยวนี้ทีกิเลสไหม เริ่มเข้าใจอกุศลที่แตกต่างกันตามกำลัง เดี๋ยวนี้มีกิเลสอะไร เมื่อพูดว่า เดี๋ยวนี้มีกิเลส กิเลสอะไรที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- เพราะเรายังไม่ได้คิดถึงจิตก่อนว่า จิตเกิดขึ้นพร้อมเจตสิกหลากหลายต่างๆ กัน และเจตสิกจำแนกเป็น โสภณเจตสิกและอกุศลเจตสิก และเจตสิกที่ไม่ใช่กุศลทั้งและอกุศล เป็นอัพยากต ค่อยๆ ศึกษาทีละนิดว่า อัพยากตคืออะไร กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม

- เพราะฉะนั้นกุศลธรรมไม่สามารถเป็นอกุศลธรรม อกุศลธรรมไม่สามารถเป็นกุศลธรรม ดังนั้นจึงมีกุศลธรรมที่เป็นจิต เจตสิก เพราะรูปไม่สามารถรู้อะไร มีจิตเจตสิกที่เป็นอกุศลและมีจิตเจตสิกที่เป็นกุศล และมีขณะอื่น เช่น ขณะเห็นที่ไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศลจึงเป็นอัพยากต ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศลเพราะว่าเป็นผลของกุศลกรรมหรือของอกุศลกรรม เพราะศึกษาไปทีละเล็กทีละน้อยโดยนัยต่างๆ เช่น โดยนัยของกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมเป็นต้น

- อัพยากตธรรม คือ อะไรที่ไม่ใช่กุศลธรรม ไม่ใช่อกุศลธรรม เป็นอัพยากตธรรมเพราะเป็นธรรมที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป มีอัพยากตธรรมเท่าไหร่และอะไรบ้างที่เป็นอัพยากตธรรม เราเริ่มศึกษาจากเบื้องต้นทีละคำ เพราะฉะนั้นไม่ข้ามไปสรุปเร็วๆ แต่ให้เข้าใจความหมายของแต่ละคำที่หมายถึงสิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่กุศลหรืออกุศล เพราะฉะนั้นเป็นอะไร ค่อยๆ พิจารณาอย่างรอบคอบเพราะธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่งถ้าไม่พิจารณาอย่างละเอียดก็เป็นเพียงจำชื่อจำคำแต่ไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอัพยากตธรรม เพราะฉะนั้นนี้เป็นหนทางที่จะ ศึกษา ที่จะพิจารณาไตร่ตรองเพื่อเข้าใจไม่ใช่เพียงจำโดยไม่มีความเข้าใจ ถ้ามีความเข้าใจชัดเจนก็ไม่ลืม

- เพราะฉะนั้นอะไรเป็นอัพยากตธรรม ต้องเกิดจากการพิจารณาไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจ ไม่ใช่รอฟังแล้วแค่จำชื่อแต่ต้องพิจารณาว่าอะไรเพราะเหตุว่าธรรมมีจริงๆ เมื่อไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ก็เปลี่ยนไม่ได้เป็นอัพยากตธรรม

- สนใจที่จะลองพิจารณาโดยละเอียดไหม เพราะว่าคำตอบมีอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ได้คิดถึง เป็นนิสัยใหม่เป็นอุปนิสสยปัจจัย พิจารณาด้วยตนเองไม่ใช่รอฟังคำตอบจากคนอื่น

- อัพยากตธรรมคืออะไรทีละหนึ่ง เขาเข้าใจวิบากหรือเปล่า ถามเขาให้เขาคิดเอง เพราะฉะนั้นวิบากเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลหรือเปล่า กุศลจิตเป็นวิบากจิตหรือเปล่า อกุศลเป็นวิบากหรือเปล่า

- เพราะฉะนั้นไม่ลืมความหมายของคำว่า อัพยากตธรรมซึ่งไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นอัพยากตธรรมได้แก่อะไร ธรรมอะไรเป็นอัพยากตธรรม (กิริยาและวิบาก) กิริยาอะไร หมายถึงกิริยาจิตกิริยาเจตสิก และอะไร (วิบากจิตและวิบากเจตสิก) และธรรมอะไรที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล (กิริยาจิตกิริยาเจตสิก วิบากจิตวิบากเจตสิดและรูป) และอะไรอีก (นิพพาน) ถูกต้อง

- โดยนัยนี้จำได้ไม่ลืมเปลี่ยนไม่ได้เพราะเป็นการไตร่ตรองพิจารณาด้วยตนเอง แต่ถ้ามีใครบอกให้ฟังเดี๋ยวก็ลืม ถ้าพิจารณาด้วยตนเองเป็นความมั่นคงว่าอะไรที่ไม่ใช่กุศล อะไรที่ไม่ใช่อกุศล นั่นคือความหมายของอัพยากตธรรม อะไรที่เป็นธรรม นิพพานเป็นธรรม ธรรมที่ไม่ใช่กุศลอกุศลเป็นวิบากเป็นกิริยาเพราะฉะนั้นเป็นอัพยากตธรรม และรูปไม่สามารถเป็นกุศลหรืออกุศลได้ดังนั้นจึงเป็นอัพยากต

- เพราะฉะนั้นมีเพียงกุศลจิตและกุศลเจตสิก อกุศลจิตและอกุศลเจตสิกที่ไม่เป็นอัพยากต ถูกไหม เพราะฉะนั้นเป็นอะไร ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม อัพยากตไม่สามารถเป็นกุศลหรืออกุศลแต่ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจเพื่อละไม่ว่าอะไรเพราะเป็นเพียงธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น นี้เป็นหนทางเดียวที่จะมั่นคงในความจริง ไม่เปลี่ยน

- เพราะฉะนั้นขันธ์เป็นอัพยากต หรือเป็นกุศลเป็นอกุศล เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงในพื้นฐานไม่เปลี่ยนก็อ่านพระไตรปิฎกเข้าใจได้ ถูกไหม ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถสนทนาเรื่องขันธ์โดยนัยของกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมได้เพื่อปลูกฝังมั่นคงเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่จะค่อยๆ สะสมให้มีเพิ่มขึ้นเพื่อเข้าใจพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจความจริงในหนทางจนกระทั่งถึงการดับกิเลสเป็นสมุทเฉทในที่สุด

- ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปในหนทางอีกยาวไกลแต่เป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์ได้ดำเนินมาแล้วเป็นหนทางดียวเท่านั้นที่ละอกุศลไปตามลำดับ มั่นคงว่าเป็นธรรมไม่มีใครทั้งสิ้น อบรมเพื่อเข้าใจมั่นคงทีละน้อย ค่อยๆ ละทีละน้อยเป็นอย่างนี้เป็นภาวนาไม่ใช่การนั่งสมาธิ แต่เป็นการอบรมความเข้าใจถูก

- คุณอาช่าคำนี้ถูกไหม ภาวนา เห็นไหม เข้าใจความหมายและเข้าใจความจริงไม่ใช่รู้แค่ความหมายของคำ เพราะฉะนั้นกำลังภาวนาหรือเปล่า เห็นไหม เป็นความเข้าใจตั้งแต่ต้น ต้องมีความเข้าใจทั้งสามรอบในอริยสัจจะ ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้พิจารณไตร่ตรองอย่างละเอียดในขั้นฟัง จะเป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจในรอบที่สองที่ถึงตรงลักษณะของสภาพธรรมได้อย่างไร ต้องเป็นความมั่นคงในความจริงที่มีความเข้าใจถูกด้วยเสมอในสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่โดยการหวังเพราะเป็นอนัตตาซึ่งเป็นหนทางที่ความเข้าใจถูกจะอบรมเพิ่มขึ้นเป็นอนัตตา

- เมื่อมีความเข้าใจเท่าไหร่ก็เข้าใจในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นเท่านั้นเพราะว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครแต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็มีความเข้าใจในความจริงที่เข้าใจอัพยากตธรรม กุศลธรรม อกุศลธรรม เมื่อกล่าวถึงขันธ์ก็คือเดี๋ยวนี้ รูปขันธ์ เห็นไหม

- อัพยากตเป็นขันธ์อะไร (รูปขันธ์) เท่านั้นหรือ (นิพพาน) นิพพานไม่ใช่ขันธ์ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงขันธ์ เราไม่กล่าวถึงนิพพานเลย เพราะฉะนั้นขันธ์อะไรเป็นอัพยากต (วิญญาณขันธ์) วิญญาณคืออะไร (เป็นจิต เป็นกิริยาจิต) และอะไร (วิบากจิต) เห็นไหม เปลี่ยนไม่ได้เลย ค่อยๆ มั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินอะไรที่ไม่ใช่คำสอนของพระองค์ ก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่า ยังศึกษาคำของพระองค์ไม่พอ ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาความจริง ศึกษาคำของพระองค์เพื่อมั่นคงในความจริง เป็นหนทางเดียวที่จะละความไม่รู้และอกุศลทุกอย่างทุกประการ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 15 ธ.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นเราสนทนาเรื่องอายตนะต่อก็ได้ หรือว่าแล้วแต่ว่าคุณจะสนใจหรือเปล่า หรือจะพิจารณาไตร่ตรองด้วยตนเอง แต่อย่างไรก็ตามไม่สามารถเปลี่ยนความจริงได้ โดยนัยของขันธ์เราเข้าใจได้เลยว่า ขันธ์ใดเป็นอัพยากตเปลี่ยนไม่ได้ โดยนัยของขันธ์ นัยของอายตนะ นัยของปฏิจสมุปบาทไม่เปลี่ยนเลยเพราะเป็นการศึกษาความจริงอันสูงสุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

- เพราะฉะนั้นเป็นขณะที่มีค่าอย่างยิ่งที่รู้พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและขณะที่เข้าใจเป็นการเริ่มเข้าใจความจริงซึ่งยากที่จะรู้ได้แต่ทุกๆ ขณะที่เข้าใจเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งอริยสัจจะจากรอบที่ ๑ ไปสู่รอบที่ ๒ ไปสู่รอบที่ ๓

- เพราะฉะนั้นโดยนัยของขันธ์ได้รับคำตอบแล้วใช่ไหม มีคำถามอื่นไหม เดี๋ยวนี้คืออะไร ภวาสวะ อาสวะ ๔ ประการไม่รู้เลยเพราะไหลมาทันทีหลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นอาสวะมีเท่าไหร่ มี ๔​ เท่านั้น เพราะสะสมไว้มากพร้อมที่จะเกิดทันทีเพราะอนุสัยกิเลสไม่เกิดแต่เป็นปัจจัยให้เกิดอาสวะหลังเห็นเพียงสามขณะ

- เพราะฉะนั้นมีอาสวะเท่าไหร่ เรากำลังศึกษาพระไตรปิฎกแต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่ควรรู้ไม่ใช่แค่อยู่ในหนังสือ อาสวะมีเท่าไหร่ มี ๔ อย่างอะไรบ้างทีละหนึ่งเพื่อเข้าใจลักษณะของอาสวะที่ไม่เคยรู้ถ้าไม่มีการพูดถึงว่ามีอาสวะขณะไหนในชีวิตประจำวัน

- มีภวาสวะที่ติดข้องในความมีความเป็นทันที อวิชชาสวะเพราะไม่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้นเมื่อมีผู้ที่กล่าวถึงอาสวะ ๔​ สามารถรู้ได้ว่า อาสวะเกิดเมื่อไหร่ หลังเห็นหลังได้ยินถ้าไม่มีความเข้าใจ อวิชชาสวะก็มีแล้วและเป็นปัจจัยให้เกิดทิฏฐาสวะเป็นเราเห็น เราได้ยิน แม้แต่เราง่วง ฯลฯ เป็นอาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และกามาสวะ คือโลกที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางทวารต่างๆ สิ่งที่ปรากฏทางทวารต่างๆ แต่ละขณะในชีวิตประจำวันในโลกนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแต่ละขณะจากทวารหนึ่งไปสู่ทวารหนึ่ง

- และนี้เป็นพระประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงให้ทุกคนเข้าใจความจริง ไม่ใช่เข้าใจเพียงคำแต่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้และต่อๆ ไป ไม่ใช่เพียงคำแต่สามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นได้อีกทีละน้อยๆ ซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นยิ่งเข้าใจลึกขึ้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นความลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น

- ด้วยเหตุนี้จึงเป็นบารมี ถ้าไม่มีบารมี เช่น ขันติบารมีก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงเข้าใจคำสอนของผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วซึ่งทรงแสดงหนทางให้เข้าใจความจริง มิฉะนั้นความจริงก็ถูกปกปิดไม่มีอะไรสามารถเข้าใจความจริงได้นอกจากการฟังคำจริง การพิจารณาไตร่ตรองความจริงจนเป็นความเข้าใจความจริง และนี้คือเป้าหมายขอการมีชีวิตอยู่เพื่อถึงขณะที่เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้

- ดีกว่าเพียงรู้ว่า มีเจตสิกเท่าไหร่ สิ่งนี้เป็นอายตนะอะไร สิ่งนี้เป็นธรรมายตนะหรือจักขวายตนะ ฯลฯ นี้เป็นเพียงความคิด แต่ความจริงตามคำสอนแต่ละคำที่เราได้กล่าวถึงแล้วอยู่ที่ไหน เห็นไหมอะไรมีค่ามากกว่ากัน สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เมื่อรู้แล้วควรจะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้รู้ด้วยความเมตตาไหม เป็นความกรุณาที่จะไม่ให้ผู้อื่นต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากในอบายต่อไป เพราะที่นั่นไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้

- เพราะฉะนั้นจะเป็นใครก็ได้ที่มีความกรุณา มีเมตตา เพราะไม่ใครที่อยากจะเป็นอกุศล อยากจะทำผิด อยากไม่ซื่อตรง แต่ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยคือความไม่รู้ที่เป็นปัจจัยให้เกิดพฤติกรรมเช่นนั้น เป็นโทษอย่างยิ่งแต่ไม่รู้เลย ด้วยเหตุนี้แต่ละขณะที่เข้าใจความจริงจึงเป็นขณะที่เคารพสูงสุดต่อผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วคือ สัมมาสัมพุทโธ และการสะสมของแต่ละคนเพียงพอที่จะเป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำที่ถูกต้องและเห็นคุณค่าสูงสุดของการเข้าใจความจริง

- เพราะฉะนั้น มีชีวิตอยู่เพื่อทำดีและเข้าใจความจริง เพื่อละความไม่รู้และความติดข้องซึ่งเป็นภัยอย่างยิ่งเพราะเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลเพิ่มขึ้นมากขึ้นไม่หยุดเลย แต่การเข้าใจความจริงสามารถที่จะเห็นโทษภัยในอกุศลและสามารถที่จะละความยินดีพอใจในสิ่งที่ผู้อื่นยึดถือว่ามีค่าอย่างยิ่งได้ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก

- เพราะฉะนั้นสามารถช่วยผู้อื่นได้ด้วยความเมตตากรุณาหวังดีเป็นมิตรเป็นเพื่อน และสิ่งนี้เป็นหนทางละความเป็นเรา ต้องพิจารณาไตร่ตรองความจริงด้วยความละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะสละ ไม่สามารถที่จะแบ่งปันความรู้ให้ผู้อื่นได้ ไม่สามารถที่จะช่วยผู้อื่นเพราะตนเองไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นผู้นั้นจึงมีความประพฤติเป็นไปที่มีปัจจัยมาจากความไม่รู้และความติดข้องที่ทั้งลึกและหนาเหนียวแน่นต่อๆ ไป

- เพียงความเข้าใจถูกเท่านั้นที่จะคุ้มครองให้แต่ละท่านรอดพ้นจากหนทางผิด รอดพ้นจากความเห็นผิด จากชีวิตที่ผิดซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งได้ เพราะฉะนั้นเมตตาไม่มีประมาณเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าเราไม่ช่วยด้วยการกล่าวคำที่ทำให้เข้าใจถูก จะมีใครเข้าใจความจริงได้ไหม เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของขวัญอันล้ำค่ายิ่งเพื่อทุกคน

- ขณะนี้สมควรแก่เวลาแล้ว สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 15 ธ.ค. 2567

เพียงความเข้าใจถูกเท่านั้นที่จะคุ้มครองให้แต่ละท่านรอดพ้นจากหนทางผิด รอดพ้นจากความเห็นผิด จากชีวิตที่ผิดซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งได้ เพราะฉะนั้นเมตตาไม่มีประมาณ เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าเราไม่ช่วยด้วยการกล่าวคำที่ทำให้เข้าใจถูก จะมีใครเข้าใจความจริงได้ไหม เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของขวัญอันล้ำค่ายิ่งเพื่อทุกคน


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะบารมีทุกประการของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับชีวิต ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ธ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
prinwut
วันที่ 19 ธ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง กราบอนุโมทนาคณะอาจารย์ทุกท่านด้วยความเคารพ

ยินดีในกุศลผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นในความอนุเคราะห์ กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ