สนทนาธรรมที่เนปาล_รู้จักพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? #10
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บางส่วนจากการสนทนาธรรมที่เนปาล เช้า 27/11/67
คำต่อไปที่จะได้ฟังทุกคำเป็นคำของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ได้มีโอกาสเฝ้าพระองค์จะเริ่มสนทนากับพระองค์ด้วยคำถาม ทุกคนที่เคยได้ฟังคำของพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ความเข้าใจมีมากแค่ไหน? การสนทนาธรรมวันนี้ขอให้เริ่มด้วยคำถาม เพื่อจะได้เข้าใจว่าคำตอบของพระองค์คืออะไร ฟังคำตอบของพระองค์แล้วต้องไตร่ตรองเพราะไม่สามารถเข้าใจคำที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นขอเริ่มต้นด้วยคำถาม
ทุกคนเข้าใจทุกคำของพระพุทธเจ้าแล้วหรือ ... ทุกคำของพระองค์ฟังครั้งเดียวไม่พอ ฟังอีกกี่ครั้งก็ยังไม่พอเพราะฉะนั้น ต้องตั้งต้นเห็นความลึกซึ้งของทุกคำของพระองค์ ไม่ใช่ฟังแล้วคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่จะต้องรู้ว่าคำนั้นลึกซึ้งต้องฟังอีกหลายครั้ง
ผู้ฟัง : คนเนปาลส่วนมากเข้าใจว่า ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเป็นพระแล้วบวชอยู่ในวัด ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก
ท่านอาจารย์ : ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก..เดี๋ยวนี้มีไหม? ถ้าไม่รู้ความจริงของขณะนี้ จะไม่รู้ความจริงของขณะต่อไป เดี๋ยวนี้ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ... แล้วเดี๋ยวนี้มีอะไร ... เดี๋ยวนี้มีจริงๆ ถ้าไม่รู้ความจริงของเดี๋ยวนี้ ... จะไม่รู้อะไรเลย
ผู้ฟัง : มีปัจจุบัน
ท่านอาจารย์ : เดี๋ยวนี้เองมีอะไร?!
ผู้ฟัง : เห็นท่านอาจารย์ที่พูดสอนธรรมะ
ท่านอาจารย์ : ธรรมะเป็นหนึ่งเดียว ทีละหนึ่ง เห็นมีจริงเป็นธรรมะหรือเปล่า? สิ่งที่ถูกเห็นมีจริงไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกเห็นเป็นธรรมะเพราะมีจริง เป็นอะไรไม่ได้นอกจากสิ่งที่ถูกเห็นเท่านั้น เห็นมีจริงเป็นธรรมะ สิ่งที่ถูกเห็นก็กำลังมีจริงๆ จึงเป็นธรรมะ
เริ่มฟังคำของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพว่า ที่พระองค์ตรัสเป็นความจริงหรือเปล่า? เคยได้ยินคำว่าธรรมะบ่อยๆ แต่เริ่มเข้าใจความจริงของธรรมะหรือยัง? เรากำลังฟังคำของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ธรรมะมีจริง ... ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ใครรู้ว่าเห็นมีจริงเป็นธรรมะเท่านั้น เป็นใครไม่ได้ ... เป็นอื่นไม่ได้
ฟังธรรมะคือฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ฟังธรรมะเพื่อจะได้หายสงสัยว่าทุกอย่างที่มีเป็นธรรมะ
เห็นเกิดจึงเห็น เห็นไม่เกิดจะมีเห็นเดี๋ยวนี้ไหม?! เดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วใครทำให้เห็นเกิดขึ้น ... ได้ยินเกิดแล้วใครทำให้ได้ยินเกิดขึ้น ... ไม่มีใคร มีแต่ธรรมะเท่านั้น
เริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เห็นเป็นธรรมะหนึ่ง ... ได้ยินเป็นธรรมะหนึ่ง จึงเริ่มเข้าใจความจริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตายมีสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นและดับไป
ได้ยินเสียง ... อะไรเป็นธรรมะ?? เสียงเป็นธรรมะ ได้ยินเป็นธรรมะ ได้ยินไม่ใช่เสียง เสียงไม่ได้ยินอะไร เพราะฉะนั้น เสียงไม่ใช่ได้ยิน
ทุกอย่างที่มีจริงทุกขณะเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะทุกอย่าง ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินแล้วดับไปแล้ว กำลังได้ยิน ... เป็นเราได้ยินหรือเปล่า?! ได้ยินดับแล้ว ... เราอยู่ไหน?! ... พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ธรรมะทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นอนัตตา พระองค์ตรัสอย่างนี้หรือเปล่า?!
เริ่มเข้าใจความหมายของธรรมะ ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นได้ไหม?! ได้ยินเกิดขึ้นแล้วดับไปหรือเปล่า?! เสียงเป็นเราได้ไหม?! มั่นใจไหมว่าทุกอย่างที่เกิด ... ดับ?!
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง