ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๖
~ เป็นผู้ตรงต่อทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เปลี่ยนไม่ได้ ทำให้ง่ายไม่ได้ รีบร้อนไม่ได้ ทั้งหมดเพื่อที่จะได้รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้และไม่ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดอย่างยิ่งของทุกอย่างที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตก็คือความเห็นถูก เพราะเหตุว่าเวลาที่ฟังพระธรรม พระผู้มีพระภาคไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏที่ทุกคนสามารถพิจารณาว่าเป็นจริงอย่างที่ทรงแสดงหรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้วความเข้าใจถูกก็เกิดขึ้น และสามารถรู้ว่า ผู้ที่แสดงความจริงนี้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ธรรมเป็นธรรม แล้วกำลังมีธรรมปรากฏ ถ้าไม่มีการเข้าใจจากขั้นการฟัง ไม่สามารถรู้ความเป็นธรรมของธรรมที่กำลังปรากฏได้เลย นี่แสดงให้เห็นถึง ความไม่รู้มากมายแค่ไหน ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกชาติ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ความไม่รู้ ก็คือ ไม่รู้จักตัวธรรมว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าจะรู้ ไม่ได้รู้อื่นเลย แต่เริ่มรู้ลักษณะที่มีจริงๆ แต่ละลักษณะจากการที่เข้าใจแล้วว่าเป็นสิ่งที่มีจริงและเป็นธรรมแต่ละอย่าง
~ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้มีเมตตาแล้ว ก็จะทำให้กุศลจิตอีกหลายประการเกิดได้ แต่ข้อสำคัญต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ เมตตาจึงเป็นธรรมเครื่องอยู่ของผู้ประเสริฐ ถึงแม้ว่าจะมีใครกล่าวร้าย ว่าร้าย หรือว่ามีกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมประการใดก็ตาม บุคคลผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว
~ เวลาที่โลภะเกิด มีความพอใจ ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม จะไม่สละสิ่งนั้น ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จะเห็นได้ว่าวันหนึ่งๆ นี้ ช่างสละน้อยจริงๆ และที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า ขณะที่โลภะเกิดขึ้นขณะใด ขณะนั้นมีการไม่สละ ทุกอย่างสละไม่ได้ในขณะที่พอใจ
~ คนดี เมื่อมีโอกาสที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ ท่านจะไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้ผ่านเลยไป อย่างเช่นพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน พอเห็นความทุกข์ของคนอื่นแล้วท่านไม่ห่วงใยชีวิตของตนเลย เพราะเห็นประโยชน์ของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ
~ กุศลเป็นกุศล กุศลเป็นสิ่งที่ดีงาม ควรไหมที่จะเจริญ (สะสมให้มีมากยิ่งขึ้น) แต่ไม่ใช่หมายความว่าเป็นตัวเรา เพราะกุศลก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธรรมที่ดี แล้วเจริญได้อย่างไร ก็ไม่ใช่เราไปทำให้เจริญ แต่เจริญเมื่อมีเหตุที่จะให้กุศลนั้นเจริญ
~ ความเข้าใจธรรม เป็นปัญญา เมื่อมีความเข้าใจธรรม กุศลธรรมทั้งหลายก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น และทำให้เป็นผู้ที่มีความมั่นคงในการที่จะเจริญกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย ผู้ที่มีความเข้าใจธรรมจะเป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ทั้งปวง เป็นผู้เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
~ อกุศลของเขา เราไม่เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ถ้าจิตเป็นกุศลเมื่อไหร่ ไม่เดือดร้อน ไม่พลอยเป็นอกุศลไปด้วย เพราะฉะนั้น ใครกล่าวอย่างไรด้วยจิตประเภทใด ถ้าเป็นอกุศลจิต ก็ไม่ใช่เราเป็นอกุศลจิต แต่เขาเป็นอกุศลจิต รู้ไหมว่าขณะนั้นเป็นธรรมที่ควรละ
~ เวลาที่กระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ทางตาหรือทางหู ก็เกิดความขุ่นเคืองใจ ในขณะที่มีความขุ่นเคืองใจเกิดขึ้น ถ้าระลึกถึงพระธรรมที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงโทษของความโกรธหรือโทษของความผูกโกรธก็ตาม ในขณะนั้นจะละไหม หรือจะปล่อยไว้ก่อน รอไว้ก่อน นั่นก็คือความเนิ่นช้า ในการที่จะละอกุศลนั่นเอง
~ เรื่องของอกุศลเป็นเรื่องที่ละยากจริงๆ แม้ว่าจะได้ฟังพระธรรมสักเท่าไร แต่ถ้ายังไม่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ปัญญายังไม่ถึงขั้น ที่จะดับกิเลส กิเลสก็ดับไม่ได้ แต่แม้กระนั้นการฟังพระธรรมให้ละเอียดขึ้น และพิจารณาใคร่ครวญให้ละเอียดขึ้น ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้ระลึกได้
~ ชีวิตตามความเป็นจริงของแต่ละคน ก็รู้ได้เลยว่า แสวงหาไปหมด ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็แสวงหาสิ่งที่น่าพอใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เมื่อมีโอกาสได้สะสมศรัทธาสภาพที่ผ่องใสจากอกุศลที่จะรู้ความจริงเข้าใจความจริง ก็มีการได้ยินได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ก็แสวงหาความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น
~ สำหรับชาติหน้า ทุกคนจะเป็นบุคคลใหม่ ซึ่งจะไม่ย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ อีกเลย และถ้าใครมีปัญญาถึงขั้นรู้อดีตของชาติหน้า ซึ่งก็คือชาตินี้เอง ชาติหน้า ก็อาจจะคิดว่า ชาติก่อนไม่ควรทำอย่างนี้เลย ไม่ควรผูกโกรธอย่างนั้น ไม่ควรกล่าววาจาอย่างนั้น แต่ก็ได้กระทำไปแล้ว เพราะฉะนั้น ชาตินี้ยังมีโอกาสอยู่ที่หิริโอตตัปปะจะเกิด และละคลายอกุศล เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ย้อนกลับมาคิดว่า ชาติก่อนนี้ไม่ควรทำอกุศลอย่างนั้นๆ เลย ควรรู้เดี๋ยวนี้ และละเดี๋ยวนี้ หิริโอตตัปปะเกิดเดี๋ยวนี้ จะได้ไหมเท่านั้นเอง ปัญหาอยู่ที่ได้หรือไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้
~ การรู้ความจริงทำให้เห็นโทษของความไม่ดีที่เป็นอกุศลทั้งหมด และเริ่มเห็นคุณของความดี แม้ความดีเพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นประโยชน์มาก เพราะขณะที่เป็นกุศล อกุศลเกิดไม่ได้ ถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิดเรื่อยๆ และอกุศลเกิดเพราะไม่รู้ความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเกิดแล้วดับ จะเป็นใครไม่ได้ จะเป็นของใครไม่ได้
~ การฟังพระธรรมคือการฟังสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นมงคล เป็นสิ่งที่นำความเจริญมาให้ในชีวิต และเมื่อได้ฟังแล้ว การสนทนาธรรมที่จะเข้าใจความจริงนั้นยิ่งขึ้น ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ควรมีอย่างยิ่ง เพราะนำความเจริญในการที่จะสามารถรู้ความจริง ก่อนจะจากโลกนี้ไป
~ ชีวิตก็มีแค่นี้ ไม่มากมายมหาศาล เดี๋ยวก็จบแล้ว จะจบวันไหนก็ไม่รู้ แต่ก่อนจะจบก่อนจะจาก ขอให้เป็นผู้ที่ได้ขัดเกลากิเลสแล้วก็สามารถที่จะมีเมล็ดพืชของความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อที่จะมีการเจริญเติบโต ทุกชาติๆ ไป
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๕
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งค่ะ กราบอาจารย์คำปั่นค่ะ กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ