English-Hinndi 21 December 2024

 
prinwut
วันที่  22 ธ.ค. 2567
หมายเลข  49148
อ่าน  147

English-Hindi 21 December 2024


- เมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง ไม่สงสัยในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนแม้แต่คำว่า กิเลส เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ กิเลสคืออะไร หมายความว่าอย่างไร มีจริงๆ ไหมเดี๋ยวนี้ การที่จะตรงต่อความจริงตามควาามเป็นจริงต้องเริ่มที่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ไม่รู้ แล้วประโยชน์อะไรที่จะแค่ศึกษาตามตำราถึงเรื่องสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีแล้วไม่รู้ แต่เมื่อรู้ก็หมดสงสัยในสิ่งที่แสดงในตำรา เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีกิเลสไหม มีเพื่อให้รู้ใช่ไหมหรือเดี๋ยวนี้ไม่มี เดี๋ยวนี้มีกิเลสไหม เห็นไหมว่า ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงมีมากน้อยแค่ไหนเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่ฟังเข้าใจแต่ไม่มีการคิดถึงสิ่งที่มีจริงขณะนี้ที่เราได้สนทนากัน

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความคิดเองแต่เป็นความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เมื่อเรากล่าวถึงกิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน กิเลสมีเมื่อไหร่ และอะไรเป็นกิเลส สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงหมายความว่า ลึกซึ้งอย่างยิ่งซึ่งไม่ใช่แค่เดี๋ยวนี้แต่ไม่ว่าขณะไหนในชีวิตประจำวันทั้งในชาตินี้ ชาติก่อนหรือชาติต่อๆ ไปในอนาคตก็ลึกซึ้งเพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจด้วยตนเอง พิจารณาแล้วพิจารณาอีกถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เมื่อเรากล่าวถึงกิเลส คืออะไรเดี๋ยวนี้ เพียงตอบตามตำราที่เขียนไว้ไม่พอเลยเพราะใครๆ ก็อ่านตำราเองได้ แต่การพิจารณาไตร่ตรองแต่ละคำที่ลึกซึ้งเพราะกำลังมีสิ่งนี้เดี๋ยวนี้แต่ไม่รู้

- เพราะฉะนั้น เริ่มที่จะตระหนักถึงขณะที่มีค่าอย่างยิ่งของความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีในชีวิตประจำวันแต่ละขณะ ประโยชน์อะไรที่จะเพียงแค่จำตัวเลข จำคำ จำชื่อโดยไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย ไม่ลืมว่า ชีวิตสั้นมากจะตายเมื่อไหร่ก็ได้เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือ ขณะที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แต่ละคำของพระองค์ส่องให้เห็นความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณกล่าวคำว่า กิเลส กรุณาตอบว่าคืออะไร หมายความว่าอย่างไร

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้นชัดเจนขึ้นว่า ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้กล่าวมา ยังไม่มีความเข้าใจในเห็น ได้ยิน คิดนึกและสิ่งที่มีจริงทุกอย่างใช่ไหม ความไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่มีจริงไหม ธรรมนี้ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้แต่มีจริงๆ การไม่เข้าใจความจริงไม่เคยเข้าใจอะไรแต่มีจริงๆ เป็นธรรมไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้กระทำแล้วไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติไหนๆ กระทำไปโดยความไม่รู้โดยไม่เข้าใจความจริงเป็นปฏิจสมุปบาทข้อแรกไหม ถ้าไม่มีการฟังความจริงจะมีการพิจารณาไตร่ตรองว่า สิ่งที่มีที่ได้กระทำในชีวิตนี้เป็นไปด้วยความไม่รู้ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย ทางวาจาทั้งหมดเป็นไปด้วยความไม่รู้

- ด้วยเหตุนี้อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันแต่ละขณะเป็นไปตามเหตุปัจจัย ปัจจัยมากมายที่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ปรุงแต่สภาพธรรมให้เป็นไปแต่ละขณะ เป็นความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นในการเริ่มต้นเข้าใจปฏิจสมุปบาทว่า สิ่งที่มีจริงปรากฏได้อย่างไร เพราะฉะนั้นชาติที่แล้วหรือชาติที่ผ่านมาคืออะไร อวิชชาเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาเหมือนกับชีวิตของแต่ละท่านที่เป็นไปในชาตินี้ไหม เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปต่อๆ ไปจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่จะกระทำกุศลหรืออกุศล ไม่ใช่เพียงแค่ขณะที่มีกิเลส แต่กำลังของกิเลสก็เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลหรืออกุศลได้ ถูกต้องไหม

- ปฏิจสมุปบาทไม่ได้อยู่ในตำราแต่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละขณะไม่ว่าในชาติก่อน ชาตินี้หรือชาติหน้า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่เป็นคำพูดหรือการกระทำต่างๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเราพูดถึงชาตินี้ อวิชชาในชาตินี้เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารคือ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณคือ จิตที่ทำกิจเกิดในชาติต่อไป การกระทำที่ได้กระทำแล้วในชาตินี้จะเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณคือ ขณะแรกในชีวิตซึ่งเป็นปฏิสนธิจิตในชาติต่อๆ ไป อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ เห็นไหม สิ่งที่กระทำแล้วในชาตินี้สามารถเป็นปัจจัยให้มีการเกิดในชาติต่อไป

- เข้าใจสิ่งที่มีในแต่ละขณะของชาตินี้ดีกว่าเข้าใจเพียงสิ่งที่อยู่ในตำราแล้วเพียงคิดถึงแค่ชื่อแค่คำมากๆ ไม่ว่าจะได้ยินคำใดมากแค่ไหนก็คือ เดี๋ยวนี้และสามารถเข้าใจได้จริงๆ ถ้าไตร่ตรองพิจารณาสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีอย่างรอบคอบด้วยความไม่ประมาทขณะนี้ เพราะฉะนั้นกิเลสมีกี่ประเภท รู้จักหรือยัง ถ้ายังไม่รู้จักด้วยเหตุนี้บางคนจึงกระทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ด้วยความไม่รู้ แม้ขณะที่มีกิเลสหรือเป็นอกุศลก็ไม่รู้ แล้วการฟังคำสอนจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่เข้าใจแม้ขณะนี้ว่า กำลังมีกิเลส

- ฟังคำสอนว่า มีอกุศลหลายระดับเกิดขึ้นทำกิจต่างๆ กันจึงศึกษาว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร และเหตุปัจจัยที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปคือ ความเข้าใจถูกว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดเป็นประโยชน์และสิ่งใดเป็นโทษ มีค่าอย่างยิ่งไหมที่ได้เข้าใจความจริงแม้เพียงเล็กน้อยเพราะว่า ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ ปัญญาเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมฝ่ายกุศลเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น แต่ว่ามีสภาพธรรมมากมายที่ต้องศึกษาให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร มิฉะนั้นก็จะเข้าใจผิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งอื่นทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความจริงเลย

- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราไม่พูดถึงปฏิจสมุปบาทเพียงแค่ชื่อแต่เรากำลังพูดถึงความเข้าใจในปฏิจสมุปบาทที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละขณะ ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้มีอวิชชาไหม โดยนัยประการต่างๆ แง่มุมต่างๆ เช่น โดยนัยของกิเลส โดยนัยของนิวรณ์ ฯลฯ เพราะฉะนั้นศึกษาปรมัตถธรรมแล้วเข้าใจว่าเป็นไปอย่างไร เพราะฉะนั้นตอนนี้กรุณาสนทนาถึงสภาพธรรมใดก็ได้เพื่อเข้าใจความจริงซึ่งเป็นไปตามปัจจัยโดยไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 22 ธ.ค. 2567

- ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจว่า สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเราเป็นตัวเรานั้นคืออะไร เข้าใจความจริงว่า มีทั้งสภาพธรรมที่เป็นกุศล สถาพธรรมที่เป็นอกุศลซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดผลภายหลังต่อไป เรากำลังศึกษาเรื่องตัวเราเพื่อเข้าใจความจริงว่า จริงๆ แล้วไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราหรือเป็นของเราเลย แต่เมื่อมีความไม่รู้เกิดขึ้นทุกอย่างที่มีก็กลับเป็นเราเป็นของเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่เป็นความจริงสามารถทำให้รู้ได้ว่า ไม่ใช่เราซึ่งเป็นหนทางที่จะศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่ยึดถือว่า เป็นเราเป็นของเราแต่ความจริงทั้งหมดเป็นธรรม

- เพราะฉะนั้นเริ่มค่อยๆ ที่จะพิจารณากว้างขึ้น ลึกขึ้น ทั่วถึงขึ้นว่า ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้แต่ละขณะในชีวิตประจำวันเป็นไปในกุศลหรืออกุศล อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดในชาติต่อๆ ไป

- ธรรมจะไม่ช่วยอะไรเลยถ้าเพียงแต่คิดถึงกิเลสของคนอื่น หรือคิดว่าคนอื่นมีกิเลสอะไร หรือว่าคนอื่นมีนิสัยอย่างไร เพราะว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่มีกำลังมีที่อยู่ใกล้มากจนยึดถือว่าเป็นเราไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นกุศลหรืออกุศล

- พระธรรมเหมือนแว่นขยายส่องตนเองเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีไม่ใช่ส่องที่คนอื่น ไม่ว่าจะตัดสินคนอื่นอย่างไร ขณะนั้นคืออะไร สามารถรู้ชัดเจนขึ้นได้ไหม ขณะที่กำลังตัดสินคนอื่นด้วยจิตอะไร ธรรมละเอียดลึกซึ้งมากเพราะว่าขณะที่กำลังตัดสินคนอื่นต่างๆ นาๆ ขณะนั้นไม่ใช่เราแต่เป็นอะไร เพราะฉะนั้นไม่มีใครไม่ว่าที่ไหนเพราะทุกอย่างเป็นธรรมเป็นอนัตตา

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแแสดงคำสอนที่มีค่าอย่างยิ่งโดยนัยของพระอภิธรรม นัยของพระสูตร นัยของพระวินัย ไม่ใช่แต่เพียงโดยนัยของพระอภิธรรมเท่านั้นเพราะเหตุว่า ธรรมลึกซึ้งมากและหลากหลายมากแต่ละขณะ ด้วยเหตุนี้ความประพฤติเป็นไปของแต่ละบุคคล บุคคลนี้เป็นไปอย่างนี้ บุคคลนั้นเป็นไปอย่างนั้น หรือใครก็ตาม ทั้งหมดจึงเป็นธรรมที่ควรรู้โดยนัยของคำสอนที่หลากหลาย อย่างนัยของพระสูตรเป็นต้น แม้โดยนัยของอภิธรรมหรือนัยของพระสูตรก็ยังไม่พอ พระวินัยก็เป็นประโยชน์ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมทั้งหมดทุกนัยทุกประการเพื่อทุกคน เพื่อให้เห็นถึงสภาพธรรมที่มีค่ายิ่งคือ ความเข้าใจความจริง

- ความอัศจรรย์อันยิ่งก็คือ ปัญญาที่ค่อยๆ อบรมเจริญขึ้นเพื่อเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงสูงสุดคือ อริยสัจจธรรม ความเข้าใจความจริงมีค่าแค่ไหน แต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดงไม่ว่าจะโดยนัยของพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม หรือว่าต้องการเรียนแค่พระอภิธรรมเท่านั้นหรือ ต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี ถ้าปราศจากการตรงต่อความจริงขาดสัจจบารมีก็ไร้ประโยชน์เพราะไม่ตรงต่อพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังไม่ศึกษาคำสอนในพระวินัย ในพระสูตร เพียงแต่อยากเข้าใจกิเลสเท่านั้น พอไหม เพียงอยากจะรู้สิ่งนี้ อยากจะรู้สิ่งนั้น ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่า ไม่ใช่เราแต่ว่าเป็นกุศลหรืออกุศลระดับไหน

- เพราะฉะนั้นเป็นประโยชน์สูงสุดของคำสอน คำไหนก็ได้ ไม่มีเราแต่เดี๋ยวนี้ยังเป็นเรา แล้วไม่เป็นเราอย่างไร ใครละความเป็นเราได้ ไม่เหลือความเป็นเราอีกเลย เพราะฉะนั้นความเข้าใจเดี๋ยวนี้พอไหม จึงต้องฟังทุกคำซึ่งมีค่าอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ทั้งหมดเป็นปรมัตธรรมโดยประการต่างๆ

- เราเพิ่งกล่าวถึงความเข้าใจถูกเพื่อให้รู้ว่า มีความเข้าใจแค่ไหนที่จะเปลี่ยนจากการที่มีอกุศลเกิดขึ้นมากมายทั้งวันไปสู่การที่อกุศลน้อยตามเหตุตามปัจจัยด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ชัดเจน ลึกซึ้ง เดี๋ยวนี้อะไร ไม่ใช่คิดแต่เดี๋ยวนี้อะไร ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นความจริง เดี๋ยวนี้อะไรเพื่อเข้าใจสิ่งที่อยากจะรู้คือ กิเลส เดี๋ยวนี้มีอะไร เห็นไหมเพียงแค่คำไม่สามารถช่วยอะไรแต่ต้องเป็นควมเข้าใจสภาพธรรม เข้าใจลักษณะของธรรมที่เกิดแล้วดับทันทีแต่รู้ได้ขณะที่ลักษณะของสภาพธรรมยังมีอยู่

- เพราะฉะนั้นมีอะไรเดี๋ยวนี้ นี้เป็นหนทางที่จะศึกษาธรรมเพื่อรู้ธรรม ความจริงที่กำลังเดี๋ยวนี้ ๑ ธรรม ได้ยินใช่ไหม ได้ยินเป็นกุศลหรืออกุศล (เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล) ได้ยิน? (ได้ยินเป็นวิบากเท่านั้น) ด้วยเหตุนี้จึงต้องฟังคำถามให้เข้าใจด้วยความละเอียดอย่างยิ่งเพื่อที่จะสามารถสนทนาต่อไปเพิ่มขึ้นให้ลึกลงไปยิ่งๆ ขึ้นจนถึงตัวจริงของธรรมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- ขณะที่เห็นมีอะไร มีวิบากอะไร (จักขุวิญญาณ) และ? (จักขุปสาท) ขอโทษนะคะจักขุปสาทเป็นวิบากหรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นค่อยๆ ศึกษาเพื่อละความไม่รู้ที่อยู่ลึกมากๆ ไปทีละน้อยและค่อยๆ ละความเข้าใจผิดที่มีมากมายมหาศาลที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้อย่างรวดเร็ว

- เริ่มศึกษาเดี๋ยวนี้ ทุกคนสามารถกล่าวได้ว่า เห็นเป็นวิบากและวิบากเป็นผลของการกระทำที่เป็นกุศลหรืออกุศล ด้วยเหตุนี้แม้การเห็นก็เห็นสิ่งที่แตกต่างกัน เห็นสิ่งที่น่าพอใจบ้าง เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจบ้าง แต่ว่าสิ่งที่มีไม่ได้ปรากฏว่าเป็นวิบาก ว่าเป็นธรรม ว่าเป็นนาม ว่าเป็นเห็น แต่สภาพที่เห็นปรากฏลักษณะของเห็นให้รู้หรือยัง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 22 ธ.ค. 2567

- สภาพที่เห็นปรากฏลักษณะให้รู้หรือยัง (ยัง) เห็นจึงลึกซึ้งและขณะที่ไม่มีความเข้าใจเห็น ขณะนั้นเป็นธรรมอะไร เห็นเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ หลังเห็นมีอะไร (มีจิตเกิดขึ้น) จิตอะไร (จักขุวิญญาณ) จักขุวิญญาณคือเห็น (เห็นเป็นจักขุ) ไม่ถูกค่ะ จักขุคือจักขุปสาท เมื่อมีเห็นเกิดขึ้น หลังเห็นเกิดแล้วดับไป แล้วมีอะไรหลังเห็น (สัมปฏิจฉันนะ) รู้ได้ไหม

- เพราะฉะนั้นอะไรปรากฏเดี๋ยวนี้ (สี) แล้วเห็นปรากฏไหม เพราะฉะนั้นเรากลับไปที่สิ่งที่อาช่าสนใจ เดี๋ยวนี้มีกิเลสไหม (มี) หลังเห็นใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่จะเข้าใจกิเลสของตนเอง ถูกไหม สามารถที่จะเข้าใจกิเลสของผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้) ด้วยเหตุนี้เราสามารถเข้าใจกิเลสได้ต่อเมื่อกิเลสปรากฏ ถูกต้องไหม เพราะเราลืมกิเลสเสมอๆ ถูกไหม ขณะที่ลืมก็เป็นกิเลสด้วย ด้วยเหตุนี้อกุศลจึงเกิดขึ้นหลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเมื่อไม่มีความเข้าใจจึงไม่เป็นปัจจัยให้กุศลเกิดขึ้น ดังนั้นความเข้าใจถูกจึงตรงชัดเจนอย่างยิ่งเมื่อเข้าใจความจริง

- ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงความจริงของทุกอย่าง มิฉะนั้นก็ปะปนกันแล้วจะสามารถรู้ความจริงแต่ละ ๑ ทีละ ๑ ซึ่งไม่ใช่สิ่งเดียวกันได้อย่างไร และตามความจริงศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่จริง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น แม้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้กำลังปรากฏแต่ไม่มีความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ เลย

- เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอะไร เป็นคุณอาช่าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อาช่ากำลังพูดหรือเปล่า ไม่มีอาช่าทีละเล็กทีละน้อย สิ่งที่ถูกเห็นพูดไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่างกันแค่ไหน การเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีนั้นมีค่าอย่างยิ่งเพราะเหตุว่าในแต่ละวันธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งวันโดยไม่รู้เลยทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคำใดๆ ก็สามารถมีความเข้าใจในความจริงของสิ่งที่มีโดยนัยต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้นปฏิจสมุปบาทก็คือชีวิตในชาตินี้ด้วยเช่นกัน

- คุณอาช่าอยากเข้าใจกิเลสประเภทไหน (กรุณาบอกว่า กิเลสมีกี่ประเภท อะไรบ้าง เกิดเมื่อไหร่ ดับเมื่อไหร่) เพื่อจำไว้หรือ (ไม่ใช่เพื่อจำแต่เพื่อเข้าใจ) เพื่อเข้าใจเมื่อมีกิเลสหรือเพื่อจำไม่ได้เมื่อมีกิเลส (เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อเรียนให้จำชื่อ) แล้วอะไรเป็นลักษณะของกิเลสที่รู้ได้ เพราะฉะนั้นอะไรเป็นหนทาง (หนทางเดียวคือเข้าใจธรรมจริงๆ กิเลสก็เป็นธรรม หนทางเดียวคือเข้าใจจริงๆ)

- เมื่อโกรธเกิดขึ้นเข้าใจไหมว่าเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นการอยากเข้าใจจึงไม่ใช่หนทางที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นกิเลสหรือโทสะ แต่เป็นความเข้าใจพื้นฐานของสภาพธรรมทุกอย่างที่แตกต่างกันเป็นประเภทที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์และประเภทที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไร ด้วยเหตุนี้วิปัสสนาญาณที่หนึ่งจึงต้องเป็นนามรูปปริเฉทญาณ เห็นไหม ไม่ใช่กิเลสญาณ กุศลญาณหรืออกุศลญาณเป็นเบื้องต้น

- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่แตกต่างกัน ธรรมหนึ่งเกิดขึ้นเพื่อรู้อารมณ์และอีกธรรมหนึ่งเกิดขึ้นไม่สามารถรู้อารมณ์ใดๆ เพื่อที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เราที่เห็น และ ไม่ใช่ขาของเราที่แข็งหรืออ่อน ฯลฯ ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ธรรมปรากฏหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ (ธรรมเท่านั้นที่ปรากฏ) ไม่ค่ะ เป็นอาคิ่ลที่กำลังปรากฏยังไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่พูดคำว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” แต่ตามความเป็นจริงสิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง นี้คือคำสอน ด้วยเหตุนี้ก่อนที่ธรรมจะปรากฏตามความเป็นจริงจึงต้องอาศัยเวลาที่ยาวนานมาก เพราะว่าทุกขณะยังคงเป็นโลกของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยังเป็นโลกของอัตตาจนกว่าจะเป็นโลกของอนัตตา ไม่มีสิ่งใด ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น

- ด้วยเหตุนี้การศึกษาเห็นซึ่งเป็นเพียง ๑ ขณะเท่านั้นที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นเห็น ขณะอื่นก่อนเห็นหลังเห็นไม่สามารถเห็น ดังนั้นศึกษาเพื่อละความคิดที่ยึดว่า เป็นเราเห็นซึ่งความจริงเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น

- เพราะฉะนั้นเมื่อโกรธเกิด นั่นคือเวลาที่คิดว่า โกรธเป็นธรรมกลุ่มไหนหรือเปล่าหรือว่า โกรธเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏว่า มีจริงๆ เท่านั้น และเมื่อมีความเข้าใจโกรธว่า เป็นสภาพธรรม ความโกรธปรากฏลักษณะตามกำลังที่แตกต่างกัน อาจจะเป็นเพียงความหงุดหงิดรำคาญที่ไม่ใช่ความโกรธมากๆ ก็ได้

- เพราะฉะนั้นตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเลย เพราะว่าบางครั้งที่นอนไม่หลับ กำลังคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เดือดร้อนใจที่เนื่องมาจากความติดข้องบ้างหรือความไม่ชอบบ้าง แม้ว่าจะไม่มีคำว่า นิพพาน แต่กิเลสที่เกิดขึ้นเป็นไปเมื่อได้ฟังถึงกิเลสกลุ่มต่างๆ แล้วก็เข้าใจลักษณะของกิเลสได้ทันที ดีกว่าที่จะไปอยากรู้ว่า มีจำนวนเท่าไหร่ มีชื่ออะไรบ้างและเมื่อกิเลสเกิดขึ้นก็ลืมไม่ได้คิดถึงเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 22 ธ.ค. 2567

- ธรรมอยู่ไกลหรือมีอยู่ใกล้มากให้ศึกษา (ที่จะให้เข้าใจจริงๆ อยู่ไกลมาก) แต่สิ่งที่จะให้ศึกษาให้รู้ว่าเป็นธรรมอยู่ที่ไหน หรือมีให้รู้เมื่อไหร่ (มีอยู่เดี๋ยวนี้) เห็นไหม ธรรมอยู่ไกลไหม มีใครต้องไปหาธรรมเพื่อที่จะรู้จักธรรมไหม (ไม่) เพราะอะไร ไม่ได้ถามหาหนทางแต่ถามว่า ทำไมไม่มีใครต้องไปหาธรรมเพื่อที่จะรู้จักธรรม

- (ขอคำถามใหม่) คำถามคือ ธรรมอยู่ไกลมากจนต้องมีใครไปค้นหาธรรมเพื่อที่จะเข้าใจธรรมหรือเปล่า (ธรรมอยู่ไม่ไกล อยู่ที่นี่) อยู่ใกล้แค่ไหน (วัดไม่ได้แค่รู้ว่าอยู่ใกล้เดี๋ยวนี้เมื่อเข้าใจ) เป็นความคิดใช่ไหม แค่ความคิด เพราะฉะนั้นพิจารณาเพิ่มอีกสักนิดได้ไหมว่า ธรรมอยู่ใกล้แค่ไหนเพราะไม่มีอะไรใกล้กว่าธรรมเดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอีกกี่คำถามก็เพื่อให้ไตร่ตรองพิจารณาอย่างรอบคอบเพิ่มขึ้นเพื่อให้รู้ว่า ถ้าไม่พิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบก็ไม่สามารถเข้าใจว่า อะไรเป็นธรรมที่กำลังมีซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- คำถามตอนนี้คือ กำลังศึกษาธรรมเดี๋ยวนี้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นกำลังเป็นหนทาง (มรรค) ไปสู่การเข้าใจความจริงหรือเปล่า เห็นไหมลึกซึ้งไหม เพราะว่าไม่ใช่แค่กล่าวถึงมรรคว่ามี ๘ องค์เป็นแค่คำ แต่มรรคองค์แรกคือ สัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น สิ่งที่มีจริงที่มีให้ศึกษานั้นอยู่ไกลหรืออยู่ใกล้มากและคำตอบคืออยู่ใกล้ แล้วใกล้แค่ไหน

- เห็นไหมมีคำถามต่อไปไม่หยุดเพื่อให้พิจารณาความจริง มิฉะนั้นเราก็เสียเวลาไปกับการคิดถึงเรื่องจำนวน คิดถึงความหมาย ฯลฯ แต่ไม่เข้าใจหนทางที่ลึกซึ้งที่จะนำไปสู่การเข้าใจความจริงว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่โลกของอัตตาเหมือนที่ผ่านมา ค่อยๆ เริ่มเป็นโลกของอนัตตาทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งทุกอย่างเป็นอนัตตาทั้งหมด

- ธรรมทุกอย่างลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่จะรู้ความลึกซึ้งของธรรมได้อย่างไร ต้องเริ่มที่จะค่อยๆ พิจารณาธรรมไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่าธรรมอยู่ใกล้แค่ไหน จะไม่สนใจคำถามหรือควรจะเข้าใจความจริงเพราะว่าความจริงละเอียดลึกซึ้งมาก นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะเข้าใจความจริงจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสิ่งที่กำลังมีทีละหนึ่ง

- เพราะฉะนั้นแม้ความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ สิ่งที่กำลังมีให้รู้มีอยู่ใกล้มาก คำถามคือ ใกล้แค่ไหน สามารถเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกได้ไหม ดูเหมือนง่ายแต่ความจริงแสดงให้เห็นว่า มีการพิจารณาแค่ไหนและมีความเข้าใจความลึกซึ้งของความจริงแค่ไหน

- มีคำตอบไหม อยู่ใกล้มาก อยู่ใกล้แค่ไหนและใกล้หมายความว่าอะไร ใกล้มาก ใกล้เหลือเกิน ไม่มีอะไรใกล้กว่านี้ ดิฉันคิดว่าที่กล่าวมาไม่ใช่คำตอบเลย เพียงกล่าวถึงทุกอย่างแต่ไม่มีคำตอบว่า ธรรมอยู่ใกล้แค่ไหน เรากำลังพูดถึงสิ่งที่สามารถรู้ได้ใช่ไหมว่าอยู่ไม่ไกลเลย จะรู้ได้อย่างไรและถ้าอยู่ใกล้มาก “ใกล้มาก” หมายความว่าอะไร

- ต้องพิจารณาแต่ละคำถามเกี่ยวกับความจริง มิฉะนั้นก็เพียงตามคำไปเท่านั้น แล้วพิจารณาแง่มุมอื่นๆ ได้ไหมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนัยอื่นๆ ไหม เช่น นัยของปฏิจสมุปบาท นัยของประเภทต่างๆ ฯลฯ ที่เป็นสภาพธรรม

- เพราะฉะนั้นทุกคำถามเพื่อไตร่ตรอง พิจารณาอย่างละเอียดยิ่ง ละเอียดจนได้คำตอบที่ถูกต้องเพราะมาจากความเข้าใจที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคำถามแล้วไม่สามารถตอบได้ หมายความว่า ความเข้าใจยังไม่พอหรือเปล่า เพราะว่าคำไม่ยากเลย เป็นคำถามปกติธรรมดาว่า อยู่ใกล้แค่ไหน เพราะทุกคนกล่าวว่า สิ่งที่สามารถรู้ได้อยู่ใกล้มากแต่ใกล้แค่ไหน

- เป็นเพียงสิ่งที่เป็นอารมณ์ให้พิจารณาได้เท่านั้นเพื่อมีความมั่นคงเพิ่มขึ้นในความจริง มั่นคงในหนทาง มั่นคงในสัจจะและบารมี ฯลฯ ไม่ได้หมายความว่า เพียงศึกษาคำเรียนคำแล้วจะได้คำตอบแต่ต้องมีความเข้าใจและความเข้าใจไม่เคยพอ ต้องอบรมเพิ่มขึ้นให้เจริญขึ้นด้วยการถามคำถาม ด้วยการไตร่ตรองพิจารณา เราถามตัวเองได้ว่า ธรรมอยู่ใกล้แค่ไหน ธรรมอยู่ใกล้แต่หมายความว่าอะไร มีอยู่ใกล้มากเดี๋ยวนี้ เห็นไหม คิดถึงบ้างไหมหรือว่าไม่มีประโยชน์ หรือว่าคำตอบจริงอย่างยิ่ง

- เพื่อเข้าใจว่า อยู่ใกล้หมายถึงอย่างไร ใกล้แค่ไหน อยู่ใกล้ที่สุด เพิ่มคำใบ้อีกคำ เห็นไหมอยู่ใกล้ ใกล้มากไๆ ไม่ต้องไปหาที่ไหนให้เจอเพราะอยู่ใกล้แค่นี้ เพราะฉะนั้นธรรมอยู่ใกล้มากเพราะใกล้เพียงแค่ปรากฏเดี๋ยวนี้เท่านั้น สิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่ใกล้กว่าสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า แต่สิ่งที่กำลังมีปรากฏเดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่ใกล้ในขณะนี้หรือ ถูกต้องไหม สอดคล้องกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสว่า “โอปนยิโก” หรือเปล่า

- เห็นไหม นี้เป็นหนทางที่จะเป็นการอบรมความเข้าใจของตนเองด้วยการพิจารณาความจริง ไม่ใช่เชื่อตามแต่ไตร่ตรองความจริง ไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกเพิ่มขึ้นๆ ค่อยๆ เข้าใกล้ความจริงเพิ่มขึ้นๆ แม้แต่เดี๋ยวนี้คำเดียวที่ว่า โอปนยิโก มีอะไรที่อยู่ใกล้ที่สามารถรู้ได้ไหมเหมือนโอปนยิโกน้อมเข้าใกล้ความจริง

- ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้มีมานิชที่นั่งเฉยๆ หรือกำลังพูดหรือเปล่า เห็นไหมสิ่งที่ปรากฏทางตาพูดไม่ได้เลย เพระฉะนั้นเพื่อที่จะเข้าใจอารมณ์ที่ใกล้ที่สุดซึ่งกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงจะเป็นใครไม่ได้ เป็นอาคิ่ล อาช่า มานิชไม่ได้เลย เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกเห็นเท่านั้น และต้องเห็นกี่ขณะถึงจะเห็นสิ่งที่ปรากฏเต็มไปหมดเมื่อลืมตา เมื่อหลับตาทุกอย่างหายไปหมด รวดเร็วปานนั้น ต่างกันมากเหลือเกินขณะที่เห็นเมื่อลืมตากับขณะที่ทุกอย่างหายไปหมดเมื่อหลับตา จริงไหม ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่งเปลี่ยนไม่ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 22 ธ.ค. 2567

- ด้วยเหตุนี้การละการยึดถือความคิดว่า เป็นเรา ละความเข้าใจผิด ละความไม่รู้ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่ปกติเป็นไปในอกุศลในแต่ละวันมากกว่าขณะที่เป็นกุศล แล้วชาติต่อไป ต่อๆ ไป ได้ยิน พิจารณา ไม่มีความเข้าใจเหมือนเดี๋ยวนี้ ด้วยเหตุนี้หนทางที่จะเข้าใจพระคุณอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหนทางเดียวคือ เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

- เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกแสดงว่า สิ่งที่ปรากฏปรากฏโดยนิมิตคือ รูปทรงสัณฐานที่ทรงจำไว้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตเป็นโลกของอัตตาเท่านั้นและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาซึ่งจริงอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่ยาวนานที่จะอบรมพร้อมบารมีทุกประการ ขันติบารมี วิริยะบารมี ปัญญาบารมีที่เข้าใจว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ อะไรไร้ประโยชน์เป็นอันตราย อกุศลอันตรายมาก

- และถ้าไม่มีความเข้าใจถูกที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขณะที่เป็นกุศลมากกว่าขณะที่เป็นอกุศล แม้กุศลไม่ได้เกิดมากหลายขณะแต่แม้บางขณะที่เป็นกุศลก็เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการพิจารณาความจริง เข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อเข้าใจว่า ขณะที่เข้าใจถูกเท่านั้นที่ละความคิดผิด ละหนทางผิด เพราะว่าถ้าหากพยายามมากๆ ที่จะรู้ความจริงด้วยความเป็นเรา นั่นเป็นโลกของอัตตาไม่ใช่อนัตตา

- เพราะฉะนั้นที่ได้ฟังมาถูกต้องไหม สิ่งที่อยู่ใกล้มีเดี๋ยวนี้ไหม มีตาและเห็นเกิดที่ตาและมีสิ่งที่กระทบตาแต่ปรากฏเป็นโลกของอัตตา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีคำสอนให้รู้ความจริง ไม่สามารถที่จะละความไม่รู้ ละความติดข้องและกิเลสทุกประการได้ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อหรือไม่เอ่ยชื่อก็ตาม ดีกว่าแค่การอ่านชื่อและหัวข้อแล้วจำไว้แล้วก็ลืมว่ามีกี่ชื่อในหัวข้อนั้นๆ หรือเปล่า แต่เข้าใจความต่างในขณะที่ธรรมเกิดขึ้นระหว่างขุ่นเคืองนิดๆ กับโกรธมากๆ แต่ละคำที่ต่างกันสำหรับแสดงอาการของกิเลสที่ต่างกัน เช่น อนุสย อาสวะ โอคะ โยคะ แต่ละคำมีความหมายเพราะไม่มีอะไรมากั้นกระแสของอวิชชาและกิเลสที่ท่วมทับในแต่ละวัน ทุกวัน ตลอดชีวิต

- และนี้เป็นคำที่ฟังเพื่อละและเป็นหนทางที่ปรุงแต่งให้ละ ปัญญาคือความเข้าใจถูก ด้วยเหตุนี้หนทางจึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไมใช่แค่จำนวนเจตสิกแต่หนทางที่จะเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งต่างหากที่ละความคิดว่าง่ายๆ แค่จำคำจำชื่อซึ่งไม่มีวันที่จะเข้าใจพระคุณมหาศาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อใคร เพื่อพวกเราทุกคนไม่ว่าใครให้รอดพ้นจากอบายภูมิ

- เพราะฉะนั้นเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ แล้วลักษณะขอสภาพธรรมจะบอกเองว่าระดับไหน กลุ่มไหน โดยไม่ต้องจำชื่อ จำจำนวน แต่ขณะที่เข้าใจความเข้าใจนั้นเองคือ ขณะที่รู้ว่าระดับไหนกลุ่มไหน โดยนัยต่างๆ ทุกแง่มุม เช่น อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นโดยมีอวิชชาเป็นปัจจัย ความติดข้องเกิดได้ด้วยวิชชา แต่เมื่อเป็นปัญญาไม่ติดข้องเพราะหมดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ทำไมยังอยากได้ ทำไมยังกระทำสิ่งที่เป็นอกุศลเพื่อให้ได้มาตามที่อยาก ทั้งหมดดับแล้ว ปัจจัยใดที่เกิดแล้วให้ผลตรงตัว อกุศลกรรมต้องให้ผลเป็นอกุศลวิบากแน่นอนและกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบากแต่แม้อย่างนั้นก็เพียงหนึ่งขณะเท่านั้นแล้วดับ

- ค่อยๆ ละความยึดถือในสังสารวัฏฏ์ กิเลสเป็นปัจจัยให้เกิดกรรมและกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย เกิดอีกตายอีกต่อๆ ไปตราบเท่าที่ยังมีปัจจัยให้เกิดสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นเพราะฉะนั้นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครไม่ว่าเราจะกล่าวถึงกิเลสก็ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น

- คุ้มค่าไหมที่ได้ฟังความลึกซึ้งของหนทางที่ค่อยๆ ละความไม่รู้ไปทีละน้อยๆ จนกว่าจะไม่เป็นโลกของอัตตาอีกต่อไป เพราะฉะนั้นต้องรู้เดี๋ยวนี้ อริยสัจจะสามรอบและนี้เป็นรอบแรกที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดรอบที่สอง ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นปริยัติในรอบแรก ไม่มีทางที่ความเข้าใจขั้นปฏิปัตติจะเกิดขึ้นได้

- เพราะฉะนั้น มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจธรรมซึ่งเป็นขณะที่ดีที่สุดในชีวิต และความเข้าใจถูกจะเป็นปัจจัยให้เกิดคุณความดีเป็นกุศลทุกประการ ความเข้าใจถูกเป็นปัจจัยให้เกิดทาน อามิสทาน อภัยทาน ธรรมทานซึ่งเป็นการให้ที่ดีที่สุดเหนือการให้ทั้งปวง ไม่มีอะไรที่มีความมหัศจรรย์เท่ากับพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความไม่รู้สู่ความเข้าใจสภาพธรรมทุกประการที่เป็นกุศล ที่เป็นอกุศลและสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏแม้ไม่ใช่กุศลและอกุศล

- เพียงพิจารณาและความจริงก็คือ การพิจารณาก็ไม่ใช่เรา การพิจารณาไม่ใช่จิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์เดี๋ยวนี้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดพร้อมจิตขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นระดับไหน ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่กำลังเห็นมีมนสิการเจตสิกทำกิจพิจารณาหรือใส่ใจในอารมณ์จึงรู้ว่าสีแดงหรือสีน้ำเงินโดยไม่มีคำแต่รู้ลักษณะที่ต่างๆ กันของอารมณ์ที่กำลังถูกรู้ ไม่เปลี่ยนเพราะว่าเมื่อมีแล้วหมดทันที เกิดแล้วดับ ดังนั้นใครจะไปเปลี่ยนธรรมได้ ใครสามารถทำอะไรได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้ มีแล้วเกิดแล้วก่อนที่ใครแม้แค่คิดจะทำอะไรทั้งสิ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 22 ธ.ค. 2567

- เพราะฉะนั้นมีปัจจัยให้มีชีวิตอยู่เป็นไปในสังสารวัฏฏ์และอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร อวิชชาและกรรมก่อนๆ เป็นปัจจัยให้เกิดขณะแรกในแต่ละชาติ วิญญาณ อายตนะ นามรูป เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจว่าไม่มีใครทั้งสิ้น เหตุย่อมต้องเป็นปัจจัยที่สมควรแก่ผล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนทุกอย่างไม่ใช่ทรงแสดงเพียงนัยของอภิธรรมแต่ทรงแสดงนัยของพระสูตรด้วยอย่างที่เรากำลังสนทนากันเดี๋ยวนี้

- เราไม่ต้องกล่าวว่า จิตเจตสิกมีเท่าไหร่ มีอะไรบ้าง เพราะว่าต้องรู้แต่ยังไม่พอเพราะแค่เข้าใจว่า มีธรรมอะไรบ้าง อะไรเป็นปัจจัย อะไรเกิดพร้อมกัน แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอกุศลที่เล็กน้อยมาก หรืออกุศลที่มีกำลังมากไม่รู้เลย

- ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นความประพฤติของมนุษย์ในโลกนี้แตกต่างกัน กุศลอกุศลอะไรมากน้อยกว่ากัน เพราะควบคุมไม่ได้เป็นอนัตตาแต่ความเข้าใจถูกสามารถที่จะเข้าใจความจริงว่า อะไรเป็นภัย อะไรเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และขณะที่มีค่าที่สุดไม่ใช่เกิดจากขณะที่ไม่เข้าใจแต่เกิดจากการฟัง ไตร่ตรอง เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้

- ดังนั้นจึงต้องเป็นขณะนี้เพราะใกล้อย่างยิ่ง หมายความว่า ไม่มีอะไรอย่างอื่นปรากฏนอกจากสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏอยู่ใกล้กว่าสิ่งอื่นทั้งสิ้น และเดี๋ยวนี้สิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดยังไม่รู้ ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ด้วยเหตุนี้จึงมีการแสดงคำสอนของพระองค์ถึงความจริงสามรอบ

- สำหรับวันนี้เท่านี้นะคะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ธ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 23 ธ.ค. 2567

มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจธรรมซึ่งเป็นขณะที่ดีที่สุดในชีวิต และความเข้าใจถูกจะเป็นปัจจัยให้เกิดคุณความดีเป็นกุศลทุกประการ ความเข้าใจถูกเป็นปัจจัยให้เกิดทาน อามิสทาน อภัยทาน ธรรมทานซึ่งเป็นการให้ที่ดีที่สุดเหนือการให้ทั้งปวง ไม่มีอะไรที่มีความมหัศจรรย์เท่ากับพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความไม่รู้สู่ความเข้าใจสภาพธรรมทุกประการที่เป็นกุศล ที่เป็นอกุศลและสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏแม้ไม่ใช่กุศลและอกุศล


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะบารมีทุกประการของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับชีวิต ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
prinwut
วันที่ 23 ธ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นในความอนุเคาระห์ตรวจทาน กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ