Thai-English 04 January 2025

 
prinwut
วันที่  4 ม.ค. 2568
หมายเลข  49207
อ่าน  92

Thai-English 04 January 2025


- ธรรมยากไหม ลึกซึ้งไหมว่า เห็นธรรมยากมาก เห็นแต่ตัวเราและเรื่องราวต่างๆ แต่ลองคิดดูทำไมพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเห็น ใครที่เห็นทุกอย่างแม้เห็นก็ลึกซึ้ง

- เพราะฉะนั้นเขาคิดว่า พระธรรมง่ายๆ ไปเสียเวลาฟังทำไม ปฏิบัติเลย เห็นไหม ไม่มีความเข้าใจแม้แต่ว่า ปฏิบัติเพื่ออะไร เดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏแล้วปฏิบัติเพื่ออะไร เห็นไหมความลึกซึ้ง ทำให้คนมองไม่เห็นหนทาง (ปฏิบัติภาษาอังกฤษใช้ว่า practice แต่ความจริงไม่ใช่)

- ภาษาอังกฤษใช้คำว่า practice ใช่ไหมสำหรับปฏิบัติ แต่เขาไม่รู้จักภาษาไทย แล้วเขาเอาคำว่า practice มาจากไหน (ฟังตามกันมาจากคนที่ไม่ค่อยเข้าใจ) ไม่เข้าใจแต่ทำไมใช้ prctice อันนี้เป็นปัญหา (มีคนฝรั่งมากที่ใช้ practice เข้าใจว่าต้องนั่งปฏิบัติ ต้องไปศูนย์ฝึกสมาธิ)

- ดิฉันสนใจว่า เขาเอาคำว่า practice มาจากใครในเมื่อเขาไม่เข้าใจภาษาไทย (คิดว่า มาจากความไม่เข้าใจธรรมและฟังจากผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมที่คิดว่า ต้องทำเพื่อให้เข้าใจธรรมโดยไม่รู้ว่า ธรรมมีอยู่ในชีวิตประจำวันแต่ไม่เข้าใจว่า การปฏิบัติเป็นการฝึกที่ต้องแยกออกจากชีวิตประจำวันซึ่งมาจากความไม่เข้าใจ เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสบอกให้ใครไปนั่งสมาธิ)

- แต่เขาเอาคำนี้ คำว่า practice มาจากไหน เขาคิดเอง หรือเขาอ่านหนังสือ หรือว่าเขาฟังใคร เขาฟังตามหรือเขาคิดเอง (เขาคิดเอง) แปลกที่ว่าคนไทยคิดเหมือนกันแต่เขาไปเอามาจากคำว่า ปฏิบัติในภาษาบาลีแปลงมาแต่ความจริงเป็น “ปฏิปัตติ” แต่คนไทยออกเสียงว่า ปะ-ติ-บัด และคนไทยเข้าใจว่า ปฏิบัติเป็นการทำแต่ฝั่งชาวอังกฤษ ชาวอะไรก็ตามเอาคำว่า practice มาจากใคร มาจากอาจารย์ คนพูดหรือคนสอน หรือเอามาจากหนังสือที่เขาอ่านหรือว่า เขาคิดเอง

- (คิดว่ามาจากหนังสือ และมีอาจารย์พม่าสอนให้นั่งปฏิบัติ) สำหรับคนไทยเป็นอย่างนั้นแต่ดิฉันไม่ทราบว่าต่างชาติเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (คิดว่าใช่ เพราะมีฝรั่งจำนวนมากที่นั่งปฏิบัติเพราะเขาคิดว่า ศาสนาพุทธคือการนั่งปฏิบัติแต่เขาไม่เคยอ่านสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส มันยาก)

- หมายความว่า เขามีอาจารย์พม่าสอนปฏิบัติ ไม่ได้คิดเอง คนไทยก็เหมือนกันอาจารย์พม่าก็มาสอนปฏิบัติเหมือนกัน (คิดว่ามีคนไทยที่นั่งปฏิบัติด้วยเพราะอ่านหนังสือของอาจารย์ที่มาจากพม่า ที่อเมริกาก็มีคนจำนวนมากที่นั่งปฏิบัติเพราะคิดว่า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเพราะเขาไม่เคยอ่านไม่เคยฟัง)

- เพราะฉะนั้นวันนี้คุณแอนมีอะไรที่ละเอียดที่อยากจะเข้าใจเพราะบางคนเข้าใจว่า ไม่ละเอียดเลยแต่ความจริงละเอียดมากคือ มรรค หนทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ควรจะรู้บ้างว่า มาจากความเข้าใจทุกอย่างที่เราค่อยๆ พูดกันถึงสิ่งที่มีจริงทีละเล็กทีละน้อย (ถ้าไม่ฟังไม่สนทนาคิดว่า จะเข้าใจผิดแน่)

- คุณแอนคิดว่า กลุ่มของเรามีคนเข้าใจขึ้นไหม (คิดว่ามี) และมีคนใหม่มาอีก ต้องเริ่มกันใหม่อีกใช่ไหม ต้องค่อยๆ ฟังและเป็นคนตรง (ถ้าฟังบ่อยๆ และฟังมานานจะรู้ว่า ยังไม่เข้าใจอีกมาก) ถูกต้อง นั่นคือปัญญา ปัญญาเริ่มรู้ความลึกซึ้ง (ยิ่งฟังนานเท่าไหร่ยิ่งรู้ว่าไม่รู้มาก) นั่นเป็นปัญญาแน่นอน เพราะฉะนั้นทีละนิดทีละหน่อย เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีตามปรกติ ต้องตามปรกติจริงๆ เดี๋ยวนี้

- (ถ้าไม่ฟังสม่ำเสมอ ถ้าไม่ฟังบ่อยๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ศึกษาก็จะทราบว่า ความคิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นบัญญัติเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในโลกคิดไม่ได้แสดงให้เห็นความจริง)

- เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจแต่ละคำมั่นคง สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ต้องรู้ แต่ว่ายังไม่เริ่มจึงต้องได้ยินบ่อยๆ เพราะฉะนั้นต้องฟังจนกว่าจะไม่ลืมว่า สิ่งที่จะต้องปรากฏที่จะต้องเข้าใจ มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจอะไรได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้เป็นธรรม (ทุกขณะตลอดเวลาเป็นธรรม) อดทนไหม (ต้องอดทน) มากไหม เวลาคนบอกว่า มากเข้าไม่คิดว่าเป็นแสนโกฏกัปป์ได้เลยเหมือนที่เคยไม่รู้มาแล้ว

- (ถ้าไม่ฟังบ่อยๆ ก็ลืมง่ายๆ ค่อยๆ ดีขึ้นแต่ยังไม่พอแน่ๆ) ปัญญารู้ตรง ปัญญาไม่หลอก ปัญญาเก่งมากที่จะรู้ความจริงได้ เราสนทนากันได้มีท่านอื่นจะสนทนาอะไรไหม

- (คุณตรัสวินกล่าวว่า ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ยิ่งรู้ว่าโง่มากเท่านั้นและคิดว่า เราเป็นคนตรงแต่ความตรงนั้นจริงๆ แล้วเป็นความสำคัญตน ทำให้เริ่มรู้ว่า ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ละเอียดขึ้นๆ ทำให้รู้ว่า เรายังหยาบแค่ไหน เรารู้สึกว่ายังฟังไม่พอและที่บอกว่าเรารู้สึกว่า เรายังฟังไม่พอ นั่นก็เป็นมานะเป็นเครื่องเนิ่นช้า (คุณแอนบอกว่า นั่นแหละ เรา) คุณตรัสวินกล่าวต่อว่า ท่านอาจารย์กล่าวถึงขันติบารมี วิริยบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี แต่มีบารมี ๑ ที่คิดว่าท่านอาจารย์ไม่ได้กล่าวบ่อย ซึ่งเคยได้ฟังเมื่อ ๒๐ ก่อนคือ เนกขัมมะบารมี ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายเพิ่ม) เสียดาย ไม่ทราบคุณคุณคำปั่นอยู่ตรงนี้หรือเปล่า ถ้าคุณคำปั่นอยู่ตรงนี้ก็ขอให้คุณคำปั่นแปล เนกขัมมะ ก่อน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 4 ม.ค. 2568

- (กราบเท้าท่านอาจารย์ คำว่าเนกขัมมะ โดยภาษาบาลีโดยรากศัพท์แปลว่า การก้าวออกจากอกุศล) เพราะฉะนั้นเราไม่ค่อยได้พูดถึงคำนี้เพราะเราไม่รู้คำแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทยแต่ความเข้าใจมี ว่าที่เราศึกษาธรรมทั้งหมดเพื่อออกจากอกุศล ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจความหมายคือ เป็นสภาพธรรมแต่ไม่รู้จักคำ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราเข้าใจคำชัดเจนในภาษา ๑ ธรรมดาคือ ภาษามัคธี เนกขัมมะคือ การก้าวออกจากอกุศล คือการออกจากอกุศลนั่นเอง

- เห็นไหมว่า อกุศลเต็ม ทั้งอวิชชา ทั้งโลภะ สารพัดอย่าง แล้วออกไปยังไง นานเท่าไหร่ ขณะนี้เราฟังคำเรื่องเห็นเกิด เห็นดับ ไม่เที่ยงแต่ยังไม่ถึงเลยสักนิดเดียว ได้แต่มีเห็นและอีกนานเท่าไหร่ อีกนานเท่าไหร่จะก้าวออกไปจากการยึดถือเห็นว่าเป็นเรา เห็นไหม (นานมาก) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นแสนโกฏกัปป์ข้างหน้าแน่นอน ถ้าแสนโกฏกัปป์ผ่านมาแล้วไม่เข้าใจธรรมเลยก็ยิ่งจมลงๆ นี่คือ การที่เราจะศึกษาอะไร ถ้าเรารู้ความลึกซึ้งเราจะไม่ประมาท ไม่ประมาทว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานกว่าจะรู้ความจริงว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขณะนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากเห็นเกิดจึงจะรู้เห็นได้

- (คุณแอนถามว่า ประมาทภาษาอังกฤษคืออะไร) ได้หลายคำประมาท ไม่ประมาทกิเลส (คุณตรัสวินกล่าวว่า heedlessness) ดีที่คุณแอนศึกษาแบบนี้จะได้เข้าใจเนื้อความด้วย เข้าใจคำด้วย เพราะคนไทยใช้คำว่า ประมาทแต่ไม่รู้จักว่า ประมาทคืออะไร

- (ส่วนมากเราประมาทบ่อยๆ เพราะความจริงถูกปกปิด ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถรู้ได้) เพราะฉะนั้นเราประมาทเพราะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ประมาท ถ้าประมาทเป็นสภาวธรรมเป็นธรรมอะไร และถ้าไม่ประมาทเป็นธรรมอะไร (อกุศล) ถ้าประมาทเป็นอกุศลใช่ไหม แล้วไม่ประมาทเป็นกุศล ประมาทเป็นอกุศล ถูกต้องไหม

- เพราะฉะนั้นสภาวะอะไร สภาพธรรมอะไรไม่ประมาท (สติกับปัญญาใช่ไหม) นี่เป็นเหตุที่เราต้องเรียนเรื่องเจตสิกใช่ไหมเพราะว่า รวมกันหมดเลย เกิดขึ้นพร้อมกันดับพร้อมกันแต่ไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตั้งแต่เล็กจนถึงใหญ่ อินทรีย์เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ประมาท เราเห็นประโยชน์ เวลาฟังเราฟังอย่างละเอียดไม่ประมาท ถ้าไม่ฟังไม่ละเอียดเราประมาทเรารู้แล้ว แต่สภาวะจริงๆ สติเป็นสภาพธรรมี่ไม่ประมาท

- (ถ้าอย่างนั้นในการที่เราจะออกจากอกุศลแล้วเราไม่ประมาท แต่จริงๆ ตลอดเวลาทั้งวันเราประมาทเพราะเราไม่รู้เลยว่า อกุศลเกิดขึ้นแล้ว เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อกุศลเกิดขึ้นแล้วในขณะที่เราคิดว่า เรากำลังทำความดีแต่จริงๆ แล้วมีเราที่จะไปทำความดี อกุศลก็เกิดขึ้นแล้วและเราก็ไม่มีสติ) นั่นแหละ ไม่มีสติคือประมาท

- (เพราะฉะนั้นเราก็ประมาทอยู่ตลอดเวลา) แน่นอน ทุกขณะที่กุศลไม่เกิดเพราะฉะนั้นธรรมละเอียดจนต้องเข้าใจจริงๆ จึงจะก้าวออกจากอกุศลได้ (เราถูกล่ามโซ่ด้วยอกุศล เราก้าวออกไปก็มีโซ่อยู่ที่ข้อเท้าไปด้วย) เพราะฉะนั้นมีอะไร โอคะ คันถะ ฯลฯ ประกอบไว้ทุกอย่าง หนีไม่ออก ออกไม่ได้ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับจนถึงสามารถเป็นอิสระพ้นจากการที่จะเป็นทาสอีกต่อไป แต่ละประเภทของธรรมตามลำดับขั้นของการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

- เพราะฉะนั้น การสนทนาจริงๆ ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจความละเอียด เพราะฉะนั้นคนอ่านตำราเยอะอ้างตำราได้แต่เขาไม่รู้ความละเอียดว่า เดี๋ยวนี้เป็นอะไร เพราะฉะนั้นในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด (ประเสริฐ = precious, noblesse) เข้าใจคำไหนได้ก็เข้าใจคำนั้นก็ได้เพราะว่าแต่ละคำก็มีความหมายต่างๆ ละเอียดขึ้น

- เพราะฉะนั้นอะไรประเสริฐสุดในชีวิตของคุณแอน (เข้าใจธรรม) นี่แหละยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองทรัพย์สมบัติใดๆ เพราะว่า ทรัพย์สมบัติไม่ทำให้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญาจึงรู้ว่า ปัญญาประเสริฐสุด ทั้งความหมายในภาษาไทยภาษาอังกฤษยากที่จะให้ตรงกันได้แต่ก็พอที่จะเข้าใจได้

- เมื่อกี้นี้คุณจิ๋วถามถึงเนกขัมมะ ตอนนี้รู้เลยใช่ไหมเป็นสิ่งที่มี ต้นเลยที่คนไม่ได้คิดถึง ฟังธรรมเพื่อเนกขัมมะบารมีและเพื่อสิ่งที่ประกอบกันที่ทำให้มีความเข้าใจขึ้นจึงมีไม่ใช่บารมีเดียว เพราะฉะนั้นจึงต้องมีบารมีอื่นด้วย อาศัยกัน ประกอบกัน มิฉะนั้นจะก้าวออกไปได้อย่างไรจากอกุศล (คุณแอนถามว่า เนกขัมมะคือ renounce ใช่ไหม) renunciation แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจธรรม เขาพูดคำ เขาหาทางแต่เขาไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีอกุศล ไม่รู้ แล้วจะละอกุศลได้อย่างไร

- (มีคนคิดจะละอกุศล โดยการไม่ทานไอศครีม แต่นั่นไม่จริง) เพราะว่าที่จริงแล้วต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจว่า ไม่ใช่เราเท่านั้นจึงจะรู้จักธรรมเพราะธรรมไม่ใช่เราไม่ใช่อะไรทั้งหมดแต่เป็นธรรมแต่ละ ๑ หมดสงสัยหรือยัง (ต้องรู้จักธรรมด้วยไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรจริง) ก็พูดเรื่องกุศลอกุศลโดยไม่รู้ พูดทุกอย่างโดยไม่รู้ ไม่รู้ว่าพูดทำไมพูดเพื่ออะไร ต้องละเอียดมากพูดเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ก้าวออกไปจากความไม่รู้แล้ว เป็นเนกขัมมะบารมีแล้ว

- เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีความเข้าใจถูกต้องเป็นการออกไปจากอกุศลทีละเล็กทีละน้อย กว่าจะออกไปได้จริงๆ กว่าจะออกจากวัฏฏะแต่ละก้าว (แต่ต้องมีบารมี ๑๐ ใช่ไหม) ทุกอย่างสำคัญ ปัญญาบารมีไม่มีจะก้าวไปได้อย่างไร มีปัญญานิดหน่อยแต่ไม่มีความอดทนที่จะรู้ประจักษ์แจ้งสิ่งที่เพิ่งเริ่มรู้ เพราะฉะนั้นต้องมีวิริยะด้วย ทุกอย่างทั้ง ๑๐ (บารมีทั้งหมดเกี่ยวเนื่องกัน) เป็นปัจจัยเกื้อกูลบารมี

- (ในหนทางที่เราจะละอกุศล คราวที่แล้วอาคิ่ลอาช่าพูดเรื่องนิวรณ์ ๕ แต่ยังไม่จบ กามฉันนะยังไม่ได้พูด จริงๆ แล้ว กามฉันทะอยู่ที่ทวารทั้ง ๖ แทบจะไม่ต้องพูดถึงนิวรณ์อย่างอื่นเลยเพราะหยุดแค่กามฉันทะก็ติดอยู่ในอกุศลทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้วใช่ไหม) แต่ไม่รู้จึงต้องพูดทุกนิวรณ์ สงสัยนิวรณ์ไหนมั้ย

- (เข้าใจในระดับการฟังการศึกษาแต่ไม่ได้ลงไปลึกซึ้งในขณะที่จะขัดเกลาอุปนิสัยที่มีอยู่ที่ฝังลึกอยู่ได้ เมื่อไม่ประมาทที่จะคิดได้ ความคิดที่มีแต่ละครั้งก็ว่องไวขึ้นแต่ก็เกิดแล้วดับไปแล้ว) ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีทุกวัน อันนี้เราลืม ถ้ามีความเข้าใจรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีทุกวันแต่ถ้าไม่พูดไม่รู้เลย เช่น คำว่า นิวรณ์ คนไทยใช้คำว่า นิวรณ์ (ไม่เข้าใจคำนี้) นิวรณ์ทำให้อกุศลเกิดไม่ได้ อกุศลขัดขวางไม่ให้กุศลเกิด (แล้วอาวสะ) อาสวะละเอียดมากไม่รู้เลยแต่ละเอียดน้อยกว่าอนุสัย อนุสัยไม่เกิดเลยแต่พอมีอะไรกระทบบางเบามากมีความติดข้องเพราะไม่รู้ความจริง เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ติดแล้วไม่มีใครรู้เลย (รู้ไม่ได้)

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 4 ม.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นเริ่มจากอาสวะค่อยๆ โตขึ้นจนถึงนิวรณ์จนถึงอะไรๆ ที่สามารถจะรู้ได้ (คุณแอนไม่เข้าใจคำว่า นิวรณ์) hindrance อุปสรรคขัดขวาง อนุสัยไม่เกิดเลยเป็น latent tendency ไม่เกิดเลย ถ้าไม่มีอนุสัยเลยอะไรเกิดไม่ได้ทั้งหมดที่เป็นอกุศล ถ้าไม่มีอนุสัยไม่มีอกุศลใดๆ เกิดไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ดับอนุสัยหมด พระโสดาบันดับอนุสัยแต่ไม่หมดจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ดับอนุสัยหมดก็ยังเห็นยังได้ยินเพราะเป็นวิบาก

- เราศึกษาว่า อนุสัยเป็นเรื่องของอกุศล เพราะฉะนั้นอาสวะเป็นเรื่องของอกุศลที่บางมากทันทีที่เห็นมีแล้ว เดี๋ยวนี้เห็นมีอาสวะแล้ว (อาสวะมีแต่เราไม่รู้ใช่ไหม) ไม่ใช่ มีบางมาก เช่น อวิชชาสวะมีไหมเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นอาสวะจึงมี ๔ (กามาสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ ใช่ไหม)

- ถูกต้องเลย เราก็ต้องพูดทีละอาสวะให้รู้ว่า เป็นประจำที่เราไม่รู้เลยเพราะว่า เห็นแล้วไม่รู้ว่า เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตาและเห็นไม่ใช่สิ่งที่กระทบตา ไม่รู้อย่างนี้ก็เป็นอาสวะเป็นเราเห็นใช่ไหม อวิชาสวะ ทิฏฐาสวะ กามาสวะ ภวาสวะ สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นกามเพราะฉะนั้นเรามีอาวสะที่ติดข้อง

- ทุกวันเราไม่ต้องการอะไรเลย มีแต่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและคิดนึกแต่เรื่องพวกนี้ไม่ไปไหน อยู่ที่กามทั้งนั้นทั้งวัน (อยู่ที่ไหน อยู่ที่กามาสวะใช่ไหม) อกุศลจิตใช่ไหม แต่บางมากไม่ปรากฏเลยว่า นี่ไม่รู้นะว่า ฉันกำลังมีมานะ กำลังพูดด้วยมานะ กำลังปลามปลื้มด้วยมานะ ไม่รู้เลย ขณะนั้นจึงเป็นอาสวะ กามาสวะยินดีในรูปเสียง มีไหมกามาสวะ แต่ไม่รู้ใช่ไหม ไม่ปรากฏให้รู้ เร็วมาก

- (เพราะสติปัญญาไม่พอ) เพราะบางมากละเอียดมาก ยังไม่ปรากฏว่า “อยากดื่มน้ำ” ดื่มน้ำไม่ใช่อาสวะแล้ว ไม่ใช่ไม่มีอาสวะ ตื่นมายังไม่อยากดื่มน้ำแต่ว่ามีเราแล้ว ภวาสวะมีแล้วยังไม่อยากอะไรเลยก็มีแล้วเพราะเป็นกามาสวะ มีแล้วเป็นแล้วแต่ละเอียดมากบางมากไม่รู้เลยว่ามี “อยากกินน้ำ” รู้แล้วอยากแล้วปรากฏ (นี่กามาสวะใช่ไหม) มากกว่าเกินกว่าอาสวะ แต่ละขณะไม่เหมือนกันเลย กิลสหนาขณะนึง กิเลสบางระดับนึง กิเลสบางจนไม่รู้ระดับนึง กิเลสบางจนไม่รู้ คือ อาสวะ ถ้าหนาจะดื่มน้ำ ไม่ใช่อาสวะแล้ว มากกว่าอาสวะเป็นโอคะ

- เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า อาสวะมี ๔ ไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นอกุศลเป็นอาสวะ เพราะอะไร เพราะทุกอย่างอื่นที่เป็นไม่ใช่อาสวะ รู้สึกตัวแต่ตอนเป็นอาสวะไม่รู้เลย มีก็ไม่รู้เลย นั่นคือระดับแต่สิ่งที่ไม่ใช่อาสวะ ธรรมที่เป็นอกุศลที่ไม่ใช่อาสวะ รู้ได้ปรากฏ ชัดเจนนะคะ ไม่สงสัยนะคะ เดี๋ยวนี้มีอาสวะเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้มีอาสวะไหม (มีแต่เราไม่รู้) ถูกต้อง บางคนเขาไม่ได้ชอบอะไรก็คิดว่า เขาไม่ได้มีกิเลส เขาไม่รู้ว่ากำลังมีกิเลสแต่ไม่รู้ว่าเป็นกิเลส

- เพราะฉะนั้น กิเลสมีหลายระดับ บางที่สุดคือไม่รู้แต่เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ใช่อนุสัยแต่เป็นอาสวะ อนุสัยไม่เกิดแต่เกิดแล้วบางมากหมือนอนุสัยแต่ไม่ใช่อนุสัยเพราะเกิดแต่เป็นอาสวะ ถ้าไม่เกิดเลยหลับสนิทมีกิเลสใช่ไหม เป็นอนุสัย แต่พอตื่นมีสิ่งที่ปรากฏ บางจนไม่รู้ว่ามีกิเลสเป็นกามสวะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

- ตื่นขึ้นมาคุณแอนกระทบที่นอน ไม่รู้ลยว่า มีกิเลสใช่ไหม แล้วมีไหม ตื่นขึ้นมาตอนหลับสนิทไม่มีกิเลส ตื่นขึ้นมามีกิเลสไหม (มี) กิเลสอะไร อาสวะไงคะ กิเลสที่เป็นอาสวะบางจนไม่รู้ว่ามี เป็นอาสวะที่ไม่รู้เลยแต่ไม่ใช่หลับสนิท เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นความละเอียดว่าหลับสนิทมีอนุสัยกิเลสเท่านั้น

- พอตื่นขึ้นมา ไม่ใช่หลับสนิท มีกิเลสไหม ตอนหลับมีอนุสัยเท่านั้นละอียดมากไม่เกิดไม่รู้ พอตื่นแล้วไม่ใช่หลับสนิทเพราะฉะนั้นมีกิเลสไหม กิเลสอะไร (อาสวะ) เพราะฉะนั้นอาสวะเป็นกิเลสที่ไม่รู้เลยแต่ว่าบางมากมีกามาสวะ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่รู้เลยว่า เพียงกระทบเพียงเกิดก็ติดแล้ว แล้วก็เป็นกามาสวะ แล้วก็เป็นภวาสวะ แล้วก็เป็นอวิชชาสวะ แล้วก็เป็นทิฏฐาสวะถ้าเกิด ทิฏฐาสวะไม่เกิดก็ได้ พระโสดาบันไม่มีทิฏฐาสวะ ต้องดับหมดแม้อนุสัยก็ไม่มีกามาสวะ กามราคานุสัยไม่มี

- พระโสดาบันไม่มีอนุสัยอะไร ต้องดับอนุสัยด้วย อนุสัยมี ๗​ อะไรบ้างและพระโสดาบันดับอะไร (ดับทิฏฐิเพราะไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนอีกต่อไป) เกิดอีกไม่ได้เลยเพราะดับทิฏฐานุสัย ถ้าไม่มีทิฏฐานุสัยจะมีทิฏฐาสวะได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเราเข้าใจมั่นคงทีละน้อยเพื่อจะรู้ว่า นี่เป็นธรรมไม่ใช่เรามั่นคง ถ้าเราไม่รู้ละเอียดไม่มีอะไรไปละความเป็นเราได้เพราะรู้นิดเดียว แต่นี่ลึกซึ้งมากละเอียดมาก

- ตอนนี้คุณแอนเข้าใจความต่างของอนุสัยกับอาสวะแล้วนะคะ ต่างกันตรงไหน (เป็นสิ่งที่มีปัจจัย) ไม่ค่ะ ไม่เอาอย่างนั้น เราจะเอาความเข้าใจที่มั่นคงว่า ตอนหลับสนิทไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลยใช่ไหม แต่มีจิตหรือเปล่า แต่ขณะนั้นไม่มีอะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กายปรากฏ เพราะฉะนั้นกิเลสที่มีที่เป็นอนุสัยไม่เกิด ไม่มีปัจจัยที่จะเกิดเลย เกิดไม่ได้เลยต้องมั่นคง อนุสัยกิเลสไม่เกิด แต่เพราะมีอนุสัยเป็นปัจจัย กิเลสที่เกิดเพราะมีอนุสัยกิเลสนั้นๆ ทำให้เกิดขึ้น แต่กิเลสที่เกิดทุกวันเพราะมีอนุสัยกิเลสประเภทนั้นยังไม่ได้ดับไป

- ทุกคนที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบันก็มีอนุสัยกิเลสครบ ครบหมายความว่า มีเท่าไหร่ต้องเท่านั้น เพราะฉะนั้นอนุสัยกิเลสมีเท่าไหร่ (ไม่ทราบจำนวน) ไม่เป็นไรเพราะฉะนั้นการที่รู้จักคำไม่ใช่หมายความว่าเราจำตัวเลขแต่รู้ว่า อะไรเป็นอนุสัยมาก เป็นความที่ต้องละเอียดไม่ประมาท มาแล้วคำนี้ให้ไม่ลืมว่าประมาทคืออะไร

- เพราะฉะนั้นขณะนี้เราเรียนเพื่อเข้าใจอนุสัย ก่อนอื่นทั้งหมดไม่ต้องคิดถึงอะไรเลย ทุกคนเกิดคนที่เกิดมีกิเลสไหม (มี) ถ้าไม่มีกิเลสจะเกิดไหม ถ้ากิเลสดับหมด แต่ขณะแรกที่จิตเกิดเป็นผลของกรรมขณะนั้นมีกิเลสไหม กิเลสประเภทไหน (อนุสัย) ยังไม่ใช่อาสวะเพราะขณะนั้นกิเลสเกิดไม่ได้เพราะเป็นวิบาก การศึกษาธรรมละเอียดขึ้นๆ เป็นทางเดียว

- เพราะฉะนั้นเราพูดให้ชัดเจน จิตขณะแรกเป็นปฏิสนธิจิตทำหน้าที่ปฏิสนธิเกิดขณะเดียว ขณะนั้นมีกิเลสไหม (อนุสัย) ถูกต้องรู้เลยว่า อนุสัยเป็นกิเลสที่สะสมหมกอยู่ในจิตใจมีมากไม่ได้ออกไปเลยแต่เป็นพื้น เพราะฉะนั้นคนที่โกรธมากมีปฏิฆานุสัย พอกระทบอะไรโกรธเลย บางคนก็มีนิสัยที่ชอบทุกอย่างทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอเห็นเพราะมีอนุสัยที่หมักหมมอยู่เมื่อเห็นก็ชอบในสิ่งที่เห็น ไม่ต้องคิดไม่ต้องอะไรเลยทุกขณะเป็นไปตามเหตุปัจจัย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 4 ม.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นเพียงแค่ ๒ อย่างต้องชัดเจน ต้องละเอียด ต้องไม่สงสัยเพราะเหตุว่า ความสงสัยสะสมมานานมาก อนุสัยไม่เกิดเลย อนุสัยสะสมอยู่ในใจ (ถ้ามีปัจจัยก็เกิดใช่ไหม) แน่นอน เพราะฉะนั้นต้องเรียนละเอียดจนกระทั่งว่า ขณะที่เกิด จิตรู้อารมณ์หรือเปล่า ปฏิสนธิจิต

- (เพื่อความเข้าใจถูก อนุสัยไม่เกิด ที่เกิดคือกิเลสและเกิดมาตอนแรกเป็นอาสวะ) ถูกต้อง (คุณสุคินกล่าวว่า อนุสัยตามความหมายคือเป็นกิเลสที่อยู่ลึก ไม่เกิด มีอยู่กับจิตทุกขณะจนกว่าเป็นพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันก็ไม่มีอนุสัยของความเห็นผิดแและถ้าถึงพระอรหันต์ก็ไม่มีอนุสัยของกิเลสทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นอนุสัยเป็นกิเลสที่ไม่เกิดเลย ถ้าเป็นวิบากยังไงก็มีจิตแต่ก็มีอนุสัย แต่ตอนที่ไม่ใช่วิบากแต่เป็นชวน เช่น ตอนที่เกิดใหม่ๆ ตอนที่เกิดแรกๆ ก็เป็นอาสวะที่ไหลล้นออกมา แต่ก็ยังมีอนุสัยอยู่แต่ที่เกิดเป็นเฉพาะกิเลสแต่ละอย่าง ณ ตอนนั้น อนุสัยหมายถึงสิ่งที่มีอยู่ในจิตที่ไม่เกิดแต่เมื่อเกิดเกิดเป็นอาสวะหรือเป็นกิเลสประเภทอื่นๆ แต่อนุสัยยังคงมีอยู่สืบต่อในจิตแต่ละขณะ มีกิเลสมากมายเพราะฉะนั้นเมื่อโลภะเกิดขึ้นโทสะไม่ปรากฏแต่โทสะเป็นอนุสัยขณะที่โลภะเกิดขึ้น)

- ดีมากที่ช่วยกันทุกคนมีโอกาสที่จะสนทนาช่วยกัน เดี๋ยวนี้คุณแอนมีอนุสัยไหม (มีแน่) (คุณริทถามว่า อนุแปลว่าอะไร) ขอให้คุณคำปั่นช่วยแปลอนุสัยด้วย (กราบเท้าท่านอาจาารย์ อนุสยะหรืออนุสัย อนุแปลว่า ตาม สย มาจากคำว่า สี แปลว่า นอน รวมกับอนุจึงเป็น อนุสยะ แปลว่า อกุศลธรรมหรือกิเลสที่ตามนอนหรือนอนเนื่องอยู่ในจิต)

- คุณแอนเข้าใจไหม ต้องรู้ภาษาบาลีจะชัดเจนขึ้น ไม่อย่างนั้นก็แปลเอง อาจจะคิดว่า สย มาจาก นิสสย แต่ไม่ใช่ สย มาจากคำว่า สี แปลว่า นอน เพราะฉะนั้นอนุสัยเกิดไหม ไม่เกิดแต่มีอยู่ในจิตทุกขณะ เพราะฉะนั้นพอได้ยินชื่อทุกชื่อของอนุสัย ทั้งหมดนั้นไม่เกิด

- เพราะฉะนั้นอนุสัยมีเท่าไหร่คะคุณริท (มี ๗) เพราะฉะนั้นเราจะเรียนทีละหนึ่ง ดีไหม (มีกามราคานุสัย ทิฏฐานุสัยเป็นต้น) เพราะฉะนั้นเราไม่พูดชื่อทั้งหมดเพราะว่าเราพูดแต่ชื่อ แต่เราต้องศึกษาให้เข้าใจ อนุสัย ๗ คืออะไร อนุสัยเกิดไหม (ไม่เกิด) แน่ๆ ใช่ไหม กิเลสจะเกิดเพราะมีอนุสัย ถ้าไม่มีอนุสัยเลยกิเลสเกิดไม่ได้ แต่ไม่ลืมระดับละเอียดของอกุศล ละเอียดที่สุดคือ มีแต่ไม่เกิดแต่เป็นปัจจัยให้เกิด

- คุณแอนเรียนอนุสัย ๗​ หรือยัง ทีละหนึ่งก็ได้จะได้ไม่ลืม จะได้เป็นความเข้าใจจริงๆ กามราคานุสัย คุณคำปั่นอย่าเพิ่งไปไหน ช่วนแปลคำนี้ด้วย (กราบเท้าท่านอาจารย์ อนุสัย หมายถึงกิเลสอกุศลธรรมที่นอนเนื่องอยู่ในจิตคือไม่ได้เกิดขึ้น แต่ว่าสะสมสืบต่อนอนเนื่องอยู่ในจิต กามราคานุสัย กามราคะ รวมกับ อนุสย จึงเป็น กามราคานุสัย แปลว่า อนุสัยคือความติดข้องยินดีพอใจในกาม กามคือสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีพอใจ มีรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย)

- ทุกคนเข้าใจนะคะ กามราคานุสัย เดี๋ยวนี้มีไหม เกิดไหม เมื่อเกิดแล้วไม่ใช่อนุสัยจะเป็นอนุสัยไม่ได้เพราะเกิดแล้ว (เกิดแล้วเป็นอกุศล) แต่ไม่ใช่อนุสัย ต้องมั่นคงตั้งแต่ต้นไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้ว่า เราจะดับกิเลสแต่ว่าไม่มีอนุสัยได้หรือ ถ้าจะดับกิเลสก็ต้องดับอนุสัยใช่ไหม และวิธีที่จะดับก็ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นเรายังมีกิเลสใช่ไหม แล้วเราจะดับกิเลสโดยไม่ดับอนุสัยได้ไหม

- คุณแอนทราบไหมที่ดิฉันเดี๋ยวถามนั่น เดี๋ยวถามนี่ เดี๋ยวถามโน่นเพื่อให้หัดคิดให้ละเอียดรอบคอบให้มั่นคง ไม่ใช่บอกไปเลยแต่ต้องคิด คิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีก ย้อนไปย้อนมาจนมั่นคงว่า อนุสัยเกิดได้ไหม (ไม่ได้) อนุสัยเป็นเหตุให้เกิดใช่ไหม (ใช่) เกิดแล้วเป็นอนุสัยหรือเปล่า (เปล่า) ต้องมั่นคง ที่เกิดแล้วไม่ใช่อนุสัย อนุสัยเกิดไม่ได้

- เพราะฉะนั้นพูดถึงกามราคานุสัยเกิดไหม (ไม่เกิด) เกิดแล้วเป็นอะไร (เป็นกิเลส) กิเลสอะไรที่ไม่รู้เลยบางมาก กิเลสอะไร เราไม่พูดความหมายของชื่อแต่เราเอาตัวของธรรมขณะนั้น เช่น เราพูดถึงกามราคานุสัย เราไม่ได้พูดถึงอย่างอื่น เราพูดถึงความติดข้องอยู่ในกามที่นอนเนื่อง (เป็นโลภะ) ระดับไหน กิเลสมีหลายระดับ แรงมากฆ่าคนก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอนุสัยไม่เกิดเลย (เป็นอาสวะที่เรารู้ไม่ได้) อาสวะมีแต่ไม่รู้เลยว่า ตื่นขึ้นมามีไหม

- ตอนหลับสนิทไม่มีกิเลสนอกจากอนุสัยใช่ไหม (ใช่) กิเลสเกิดไม่ได้เลยหลับสนิทแต่พอตื่นขึ้นมามีกิเลสไหม (มี) กิเลสประเภทไหนระดับไหน (อาสวะ) อาสวะมีอะไรบ้าง ทีละหนึ่ง (ทิฏฐาสวะ) มีทิฏบาสวะเพราะยังอยู่ไม่ได้ดับเพราะยังเป็นเรา รู้ไหมตอนนั้นว่าเป็นเรา (ไม่) แต่เป็นเราใช่ไหม นั่นแหละขณะนั้นเป็นอาสวะ

- เพราะฉะนั้นถ้าเห็นน้ำเป็นอนุสัยหรือเปล่า (ไม่) เป็นอะไร เห็นขวดน้ำ เห็นแก้วน้ำ มีกิเลสไหม เห็นอะไรก็ตามเมื่อตื่นแล้ว ขณะที่เห็นแล้วมีกิเลสไหม รู้ไหมว่าเป็นกิเลส (ไม่) เพราะว่าบางมากน้อยมาก เพราะฉะนั้นจึงเป็นกิเลสที่ไม่รู้เลยเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าเป็นกิเลส เพราะเหตุว่า คุณแอนเห็นน้ำไม่รู้เลยว่า มีความพอใจในน้ำแล้ว มีความพอใจที่เป็นน้ำแล้ว ตื่นขึ้นมาที่นอนมี คิดว่าไม่ได้มีกิเลสอะไร แต่มีแล้วเพราะไม่รู้ ใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพูดถึงกิเลสที่อ่อนที่สุด บางเบาที่สุดคือ อาสวะ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ใครรู้ เพราะฉะนั้นอาสวะมีอะไรบ้างทีละหนึ่ง (กามาสวะ) คืออะไร (โลภะนิดหน่อย) ความพอใจมีแล้วใช่ไหม ความชอบมีแล้ว ความติดข้องมีแล้วนิดเดียวเพียงแค่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้นเป็นกามาสวะใช่ไหมเพราะส่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นกาม ไม่ว่ากระทบ ไม่ว่าปรากฏ ไม่ว่าเห็นได้ยินเป็นอาสวะเพราะไม่รู้เลยว่า เป็นกิเลสแล้ว

- ยังมีไหมกิเลสนี้กามาสวะ ยังมีไหม ไม่รู้ว่าเป็นกิเลสแต่รู้ไหมว่ามีอาสวะ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว เราเข้าใจไหมว่ามี ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสเราจะไม่รู้เลยใช่ไหมว่ามี พระปัญญาคุณให้รู้ความจริงว่าอาสวะเป็นกิเลสที่บางมากไม่รู้ว่ามี

- และมีอาสวะอะไรอีกนอกจากกามาสวะ (ทิฏฐาสวะ) ทิฏฐิว่าอย่างไร (ว่ามีเรา) ทิฎฐิว่ามีเราเป็นทิฏฐาสวะ และมีอะไรอีก (มีอวิชชาสวะ) แน่นอน และอะไรอีก (ภวาสวะ) เหนไหมว่าเราไม่รู้จักเลยว่ามี จึงเป็นกิเลสประเภทอาสวะ บางที่สุด จากอนุสัยก็เป็นอาสวะ จากอนุสัยไม่เกิดเลยก็เกิดอย่างบางที่สุดเป็นอาสวะ เราค่อยๆ พูดถึงระดับขั้น

- เราไม่รู้จักกิเลส มีทั้งกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดมาก เพราะฉะนั้นเราจึงต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเริ่มเข้าใจระดับของกิเลสจากอนุสัยไม่เกิดเลยก็เกิดอย่างบางมากเป็นอาสวะ ถูกต้องไหม

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 4 ม.ค. 2568

- (คุณสุคินกล่าวว่า ท่านอาจารย์อธิบายจาก ๔ อาสวะ ยกตัวอย่างภวาสวะ เพราะว่าถ้าพูดถึงกามาสวะ ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะ เราพอจะรู้ตอนที่มันมากกว่าอาสวะ แต่ถ้าเป็นภวาสวะเป็นอะไรที่ไม่สามารถรู้ได้เลย เป็นตัวอย่างให้เห็นขั้นอาสวะว่า เป็นกิเลสที่เกิดแต่เป็นขั้นที่รู้ไม่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นขั้นอนุสัยเพราะอนุสัยไม่เกิดเลย แต่อาสวะเกิดแล้วแต่บางจนรู้ไม่ได้) จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เข้าใจธรรม รู้ได้เพราะเป็นปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้

- (มีอาสวะ ๔ อย่างซึ่งทั้งหมดเป็นกิเลสที่เกิดขึ้นแต่บางเบามากจนเราไม่สามารถรู้ได้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง เมื่อได้ฟังแล้วจึงพอมีความเข้าใจบ้างในขั้นการฟัง แต่กิเลสที่เป็นอาสวะทั้งหมด ภวาสวะเข้าใจยากมากกว่าอาสวะที่เหลือที่จะเข้าใจเพราะแทบจะไม่ปรากฏให้รู้ในชีวิตประจำวัน ได้แต่ฟังและค่อยๆ เข้าใจเพราะบางเบามากจนแทบจะรู้ไม่ได้)

- คุณแอนเข้าใจขึ้นแล้วนะคะ ไม่ใช่เข้าใจคำแต่เข้าใจธรรม อันนี้สำคัญที่สุด (ดีมาก ชัดกว่าแน่นอน) ใช่ นี่คือการศึกษาที่ละเอียดที่เป็นประโยชน์ที่จะสะสมไปในสังสารวัฏฏ์ เข้าใจอย่างนี้มีแต่ชื่อกับคิด แต่ธรรมลึกซึ้งมากต้องเข้าใจละเอียดขึ้น คุณแอนอยากเห็นไหม อยากได้ยินไหม แต่ไม่รู้เลยใช่ไหม คิดว่าอยากได้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น อยากมีอาหารอร่อยๆ เวลาที่จะได้รับประทานอาหารแต่ไม่รู้ตัวอยากที่ติดข้อง เพราะฉะนั้นเพียงคุรแอนอยากเห็นยังไม่อยากไปสวรรค์ ถ้าตายคุณแอนไปสวรรค์ยังไม่อยากไปเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม เพราะว่ายังอยากเห็นที่นี่ใช่ไหม ภวาสวะ ต้องมีตัวอย่างให้ไตร่ตรองจะได้ชัดขึ้น

- ภวาสวะคืออะไร ความติดข้องมากมายมหาศาลในสิ่งที่ปรากฏโดยเป็นภาวะที่เป็นเรา เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้คุณแอนจะไม่เพียงจำชื่ออาสวะแต่รู้ความหมายของแต่ละอันลึกซึ้ง แม้แต่ภวาสวะ ความเป็นที่เห็นความเป็นเห็นก็ต้องการแล้ว แม้แต่ความเป็นเห็นก็ต้องการแล้ว เพียงเป็นเห็นก็อยากเป็นเห็นแล้ว

- คุณแอนลองฟังภาษาไทยลึกๆ เห็นเป็นเห็นใช่ไหม ไม่เป็นอื่น (ใช่) เป็นภาวะ ๑ ที่เห็นใช่ไหม ภาวะคือ ความเป็น เพราะฉะนั้นความเป็นเห็นก็เป็นที่ต้องการใช่ไหม นั่นคือ ภวาสวะ เพราะฉะนั้นต้องการทุกอย่างไม่ใช่ต้องการเพียงเห็นใช่ไหม ความเป็นไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นแมว เป็นนก นกพอใจในความเป็นนกไหม นกมีกิเลสไหม นกมีความพอใจเป็นนกไหม แม้นกเกิดเป็นนกก็พอใจในความเป็นนกคือ ภวาสวะ เห็น นกเห็นนกก็มีความพอใจในเห็นที่จะเห็นต่อไปเป็นภวาสวะเหมือนกัน

- ตอนนี้ชัดเจนไหมว่า ภวาสวะคืออะไร (ยังไม่ชัดเจน) ขอโทษนะคะ ฟังดีๆ คิดด้วย พอใจในความเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดทุกอย่าง นกพอใจชอบใจเป็นนกไหม (เป็น) แน่นอนเพราะนกไม่รู้จักมนุษย์เป็นอย่างไร งูเป็นอย่างไร ไม่ต้องเรียกว่านกก็พอใจในความเป็นนกใช่ไหม นั่นคือ ภวาสวะ ความเป็นทุกอย่าง

- เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงสิ่งที่เราได้ฟังแล้ว พูดอีกๆ เพื่อเข้าใจขึ้นๆ คุณแอนรู้จักหนอนไหม หนอนอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม (ไม่) หนอนยังอยากเป็นหนอนใช่ไหม ภวาสวะ แมวอยากเป็นนกไหม ภวาสวะเป็นแมว พอใจในความเป็นแมว ยินดีในความเป็นแมว เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงอาสวะใดต้องเข้าใจจริงๆ

- ๔ อาสวะเข้าใจหรือยัง (เข้าใจเพิ่มขึ้น) มีทุกขณะไหม (มี) จึงไม่รู้ว่ามี เพราะบางมาก จึงเข้าใจความหมายของกิเลสที่เป็นอาสวะ ไม่ใช่อนุสัย คุณแอนเรียนเรื่องอกุศลมีหลายประเภทอะไรบ้าง มีอนุสัย มีอาสวะ แบ่งเป็น ๙ พวกตามประเภทของอกุศล อกุศนี้ไม่ใช่อาสวะ อกุศลนี้ไม่ใช่อนุสัย เพราะฉะนั้นอกุศลมีละเอียดมากต่างๆ กันมาก อยู่ที่เราทั้งหมดแต่ไม่เคยรู้เลยแล้วจะเอากิเลสออกได้ไหมถ้าไม่รู้ จึงต้องรู้ว่า การที่เอากิเลสออกต้องเอากิเลสออกหมด

- (กิเลสคือ ๙ ใช่ไหม) ใช้คำว่า อกุศลธรรม กิเลสคืออกุศลธรรมมีเจตสิกอะไรบ้าง แบ่เป็นพวกไหนบ้าง อันนี้เป็นพวกอาสวะ อันนี้เป็นพวกอนุสัย มีเจตสิกที่เป็นอกุศลเจตสิกเท่าไหร่ (๒๘) ไม่ใช่ (ไม่รู้ มีมาก โลภะ โทสะ โมหะ) เป็นการเตือนเราอาจจะเคยได้ยินแล้วแต่ไม่เข้าใจพอ ไม่ต้องจำแต่ต้องเข้าใจ

- เพราะฉะนั้นอาสวะเกิน ๔​ ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร (เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้) เพราะว่าอย่างอื่นยังพอปรากฏให้รู้ได้ไม่บางละเอียดเหมือน ๔​ อย่างนี้ โทสะเป็นอาสวะไหม (ไม่) ถูกต้อง เห็นไหมพอเข้าใจแล้วตอบได้เอง ถ้ารู้ก็ไม่ใช่อาสวะ มีแต่ไม่รู้ก็เป็นอาสวะ แต่ต้องมีไม่ใช่ไม่มี ต้องเกิดไม่ใช่ไม่เกิด

- อาสวะต้องเกิดจึงเป็นอาสวะ เพราะฉะนั้นเรียนเรื่องตัวเราเองทั้งหมด กิเลสทุกประเภทให้เข้าใจจริงๆ เพื่อเนกขัมมะ ละความเป็นเรา (เพราะฉะนั้นอาสวะ ถ้ามีกำลังมากไม่เป็นอาสวะ) แน่นอนไม่อย่างนั้นก็ไม่มีชื่อต่างกันเพราะว่า น้อยต่างกัน ละเอียดต่างกัน จะเป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ (เป็นกิเลสที่กำลังต่างกันใช่ไหม) ถ้ารู้ก็ไม่ใช่ระดับที่ไม่รู้ แต่ละขณะต่างกัน อาสวะไม่ใช่กองอื่นไม่ใช่นิวรณ์ ด้วยเหตุจึงมีหลายกอง

- (ต้องศึกษากองต่างๆ แต่รู้ว่า อาสวะเป็นอกุศลธรรมที่เบาบางที่สุดและรู้ไม่ได้) แต่เกิดแล้ว (ใช่ เกิดแล้วเป็น ๔ อย่าง ถ้ากิเลสมีกำลังปรากฏให้รู้ได้ไม่ใช่อาสวะใช่ไหม) ใช่ เพราะเหตุว่า เราจะต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้มีคุณแอนหรือเปล่า (ไม่รู้) นั่นเป็นอาสวะ แม้จะไม่คิดถึงแต่เป็นคุณแอนตลอด

- เพราะฉะนั้นจิตไม่เหมือนกันเลย ขณะที่โกรธนิดหน่อย โกรธมากขึ้น อยากจะฆ่า ไม่เหมือนกัน น้อยมากจนไม่รู้ ทำไมรู้ว่ามีอาสวะ กำลังหลับสนิทไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไรจึงไม่มีอาสวะแต่มีอนุสัย แต่ถ้าตื่นแล้วไม่ใช่อนุสัย อนุสัยไม่เกิด แต่ตื่นแล้วมีกิเลสไหม กิเลสรู้ไหมว่ามี เพราะฉะนั้นมีคุณแอนตื่นไหม อาสวะใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นกิเลสที่บางที่สุดจนไม่รู้ว่ามีกิเลส เช่น เป็นเราตลอดเวลา อาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะไม่รู้เลยเพราะว่า ไม่ใช่ขณะะที่หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏ แต่เมื่อมีอะไรปรากฏมีอาสวะ แต่ถ้าชอบสิ่งนั้นมากนั่นไม่ใช่ระดับอาสวะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 4 ม.ค. 2568

- เพราะฉะนั้น ศึกษาเพื่อเข้าใจหนทางสู่การไม่มีกิเลสอีกเลย สูงสุดคือดับกิเลสจนหมดสิ้น มิฉะนั้น ละกิเลสไม่ได้ถ้าไม่มีความเข้าใจ คุณแอนชอบสีอะไร เป็นอาสวะหรือไม่ใช่อาสวะ เมื่อเห็นสิ่งใดเล็กน้อยมากๆ อาสวะมีแล้วตรงนั้นไม่รู้เลย

- (ท่านอาจารย์อดทนมาก ยินดีในความอดทนของท่าน) นั่นเป็นบารมี มิฉะนั้นเราก็พูดถึงบารมี แต่มีคุณแอนไหม แม้ไม่คิดถึงว่า เป็นคุณแอนแต่ก็เป็นคุณแอน อาสวะมีแล้วบางมาก แม้ยังไม่รู้ว่าเป็นแก้วแต่มีกามาสวะแล้วเพราะเห็นแล้ว จนกว่าจะถึงขณะที่ประจักษ์แจ้งความจริง ดับกิเลสไม่กลับมาอีกเลย

- ไม่ต้องคิดถึงอาสวะเลยเพราะว่า อาสวะไม่ปรากฏเป็นอารมณ์เมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้น เป็นขณะที่เริ่มละอกุศลทุกอย่างแม้แต่อนุสัย อาสวะและกิเลสอื่นๆ ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงพูดถึงกิเลสระดับที่ต่ำที่สุดซึ่งไม่ได้มีกำลังถึงระดับที่รู้ได้ เช่น ชอบดูฟุตบอล ดูทีวี อย่างนั้นไม่ใช่อาสวะซึ่งอาสวะเกิดแล้วแต่ไม่รู้

- เห็นเดี๋ยวนี้ อยากเห็นไหม ไม่มีใครคิดถึงเลย แต่มีตลอดเวลาแต่ไม่รู้ นั่นคือกามาสวะและภวาสวะ แค่อยากเห็น เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจว่า ชีวิตประจำวันมีความมีความเป็นแต่ไม่รู้เลยตลอดเวลา เพราะขณะที่ตื่นกับขณะที่หลับสนิทต่างกัน เพราะขณะที่หลับไม่รู้อะไรในโลกนี้เลย แต่รู้อารมณ์ที่ไม่ปรากฏเพราะไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ แต่ทันทีที่ตื่นขึ้นไม่ใช่อนุสัยอีกต่อไป เพราะมีอะไรปรากฏแล้ว แม้แค่นั้นก็อาสวะมีแล้วไม่รู้เลย

- ฉันตื่น เห็นไหมเป็นปกติมากแต่เป็นแล้วมีแล้ว เพราะฉะนั้นอาสวะรู้ไม่ได้ แม้แต่มองแก้วน้ำ เมื่อเป็นแก้วน้ำไม่ใช่อาสวะ เพราะอาสวะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ เมื่อรู้ไม่ใช่อาสวะเลยบางมาก อะไรที่เห็นได้ยินมีอาสวะแล้วแต่ไม่รู้เลย เราเห็นเป็นอาสวะ (ลึกซึ้งมากๆ) เพราะว่า ไม่ใช่ขณะที่หลับสนิท ไม่ลืม และไม่ใช่ขณะที่รู้ได้

- (เมื่อไหร่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็มากกว่าอาสวะแล้ว) แน่นอนเพราะฉะนั้นอาสวะจึงหมายความถึง ๔ อย่างนี้เท่านั้น ละเอียดน้อยกว่าอนุสัยแต่เพราะอะไร เพราะเกิด อนุสัยไม่เกิดไม่มีใครรู้เลย แต่พอเกิด ทันทีที่มีการเห็นการได้ยิน อาสวะแล้วโดยไม่รู้ตัว (ถ้าเป็นนิมิตอนุพยัญชนะก็มากกว่าอาสวะแล้ว) มากกว่า เพราะเหตุว่า มีความติดข้องแล้ว มีความติดข้องปรากฏแล้วว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

- คิดถึงความละเอียดที่ละเอียดต่อจากอนุสัย (สิ่งนี้สำคัญมาก ชัดเจนว่า เมื่อเห็นเป็นแก้วแสดงว่า เกิดขึ้นนานแล้วเมื่อไม่รู้ก็คือไม่รู้ ไม่สามารถเป็นแก้วหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ และเมื่อท่านอาจารย์พูดถึงทิฏฐาสวะ หมายถึง มีเราที่เหนเป็นเราเห็น แม้จะไม่มีความคิดว่าเป็นเรา แต่ความเป็นเราก็มีอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นขณะที่เราลืมตาขึ้น ความเป็นเราก็เกิดแล้ว)

- (คุณริทขอความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับบารมีว่า บารมีต่างๆ ก็มีหลายระดับ) ขอโทษคุณริท แค่ความเข้าใจถูก ๑ ขณะก็เป็นบารมีจนกว่าจะเต็ม ไม่อย่างนั้นจะเอาบารมีมาแต่ไหนทุกขณะๆ เพราะฉะนั้นความเข้าใจเดี๋ยวนี้เป็นเนกขัมมะบารมีออกจากความเห็นผิด ออกจากความไม่รู้

- (มีคำว่าเนกขัมมะบารมี คำว่าเนกขัมมะอุปบารมี และมีคำว่า ปรมัตถบารมีด้วย) ทุกอย่าง ไม่ใช่เนกขัมมะอย่างเดียว ทุกบารมี (แม้กระทั่งปัญญาก็มีอุปบารมี) ก็ปัญญาเดี๋ยวนี้เป็นบารมีแค่ไหน ปัญญาเดี๋ยวนี้เป็นบารมีไหม หนึ่งขณะจิตที่เข้าใจเป็นบารมีไหม ถ้าไม่มีจะเอาบารมีอะไรมาแต่ไหน (ถ้ามีความเข้าใจก็เป็นบารมี) แน่นอนทุกขณะเพราะฉะนั้นอย่าประมาทความเข้าใจทุกขณะหรือกุศลแม้เพียงเล็กน้อยทุกขณะ (แต่จนกว่าที่จะเป็นปรมัตถบารมีด้วย) จนกว่าจะเต็ม พระโพธิสัตว์ยังไม่ตรัสรู้เมื่อยังไม่เต็ม (อยากขอความเข้าใจ ๒ คำนี้ด้วย อุปบารมี ปรมัตถบารมี) ชื่อบอกอยู่แล้วถ้าเข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็มีแต่ชื่อ เชิญคุณคำปั่นค่ะ

- (กราบเท้าท่านอาจารย์เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก โดยสาระที่ได้ฟังจากท่านอาจารย์ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จนกว่าจะเต็มเปี่ยม ชัดเจนมากๆ โดยศัพท์ก็ต้องเข้าใจบารมีก่อน บารมีคือ คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลสซึ่งมีระดับที่ต่างกัน ถ้าหากว่าได้ศึกษาในจริยาปิฎกก็จะเห็นชัดเจนว่า มีการจำแนกไว้ว่า อย่างไหนเป็นบารมี อย่างไหนเป็นอุปบารมี อย่างไหนเป็นปรมัตถบารมีก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ซึ่งก็ไม่สามารถจำได้ทั้งหมดว่า ในพระชาติไหนการบำเพ็ญพระบารมีของพระโพธิสัตว์เป็นบารมีอะไรระดับไหน แต่โดยสาระคือถ้าเป็นบารมีก็ยังไม่มีกำลังมาก ถ้าเป็นอุปบารมีก็เป็นบารมีที่มีกำลังขึ้นเพิ่มขึ้น และปรมัตถบารมีคือเป็นบารมีอย่างยอดยิ่ง เป็นบารมีสูงสุด โดยความหมายถึงแม้ว่าจะเป็นบารมีใดระดับใดก็ตาม ก็เข้าใจได้ด้วยคำว่า บารมีนั่นแหละเพราะว่า เป็นคุณธรรมเป็นคุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลสจนกว่าจะสามารถดับกิเลสได้ เป็นการเต็มเปี่ยมเป็นการบริบูรณ์ของบารมี กราบเท้าท่านอาจารย์)

- ก็คงจะเข้าใจพอสมควร แล้วเราก็จะได้มีการสนทนาอย่างนี้อีก เพราะฉะนั้นวันเสาร์ขอให้เป็นการสนทนาสากล ไม่ว่าจะเป็นภาษาใด ชาติใด แต่หลักก็คือ ให้เป็นภาษาฮินดีกับเนปาล แต่ว่าทุกคนร่วมด้วยแต่ใช้ภาษาอะไรก็ได้ ถ้าไม่มีอินเดียมา ไม่มีเนปาลมา คุณแอนมาวันนี้ก็เป็นประโยชน์มาก เป็นรายการสากลไม่จำกัด

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 5 ม.ค. 2568

ศึกษาเพื่อเข้าใจหนทางสู่การไม่มีกิเลสอีกเลย สูงสุดคือดับกิเลสจนหมดสิ้น มิฉะนั้น ละกิเลสไม่ได้ถ้าไม่มีความเข้าใจ


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
prinwut
วันที่ 7 ม.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

กราบยินดีในกุศลผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน

กราบขอบพระคุณ กอราบนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในความเกื้อกูลอนุเคราะห์ทุกประการครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ