ละอย่างแรกคือละความเห็นผิดก่อน
ละอย่างแรก คือ ละความเห็นผิดก่อน ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ฟังธรรม หรือศึกษาธรรมให้เข้าใจจริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ขณะใดที่คิดว่าจะทำอะไรได้ ขณะนั้นก็มีตัวตนเข้าไปกระทำแล้วโดยไม่รู้ตัวเลย อวิชชาปิดกั้นทุกอย่าง ปิดอย่างแนบเนียนมาก แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น มีหนทางนี้หนทางเดียว ศึกษาและฟังต่อไปจนกว่าจะเข้าใจ
ศึกษาและฟังต่อไป การโยนิโสมนสิการถือว่าเป็นการศึกษาด้วยตัวเองใช่ไหมครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เคยได้ยินบ่อย ใช้โยนโสมนสิการ แต่ต้องรู้จักคำว่าโยนิโสมนสิการก่อนครับโยนิโสมนสิการ เป็นการใส่ใจโดยแยบคาย เป็นเจตสิก (มนสิการ) ขณะใดที่ใส่ใจแยบคายหรือเป็นโยนิโสหละ ก็ต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลครับ ถ้าเป็นอกุศลก็เป็นอโยนิโสมนสิการ (ไม่แยบคาย) ดังนั้น เราบังคับ ให้กุศลเกิดตามใจชอบได้ไหม ในเมื่อเป็นอนัตตา ไม่ได้ครับ เมื่อไม่ได้ โยนิโสมนสิการก็บังคับหรือใช้ไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา (โยนิโสเกิดกับจิตที่เป็นกุศล) ดังนั้น เราจึงคิดเองว่า เราจะโยนิโสเป็นการศึกษาด้วยตนเองไม่ได้ครับ คำว่าศึกษาในพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง การอบรมเจริญปัญญาต้องอาศัยการฟังธรรม คบสัตบุรุษ สอบถาม สนทนา และเมื่อเข้าใจในสิ่งที่ฟัง ขณะนั้นก็กำลังศึกษาแล้วเพราะกำลังเข้าใจขึ้น แต่ไม่ได้มีโยนิโสมนสิการอย่างเดียว มีปัญญาเกิดร่วมด้วยครับ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ขณะนั้นก็เริ่มศึกษา ขณะนั้นก็เป็นโยนิโสฯ แต่ไม่ใช่บังคับให้ใช้โยนิโสฯ ครับ
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ผมมองข้ามไปว่า การฟังธรรม คบสัตบุรุษ สอบถาม สนทนา ก็เป็นโยนิโสมนสิการในตัวไปด้วย เพราะ การฟังต้องพิจารณาโดยแยบคายไปในตัว เข้าใจถูกไหมครับ (จิตรวดเร็ว) ตอนแรกผมคิดว่า ฟังแล้วศึกษาแล้วต้องไปนั่งอยู่คนเดียว พิจารณาด้วยตัวเองอย่างเดียว ลืมคิดว่า การพิจารณาโดยแยบคายสามารถทำไปด้วยในขณะฟัง
เป็นพระคุณยิ่งครับ
ขอบคุณครับ
คราวนี้จะโยฯ หรือ ไม่โยฯ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจำทำได้ใช่ไหมละครับ ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นมนสิการเจตสิก ที่เกิดกับจิตทุกๆ ดวงไม่เว้น แม้จะเป็นจิตของพระอรหันต์ จิต เจตสิก รูป ก็ไม่ใช่เราด้วยสิครับ อ้าว! เราหายไปไหนละ ก็เราฟังธรรมอยู่นี่? ขณะที่ฟังธรรมแล้วเงี่ยโสตลงสดับ รับฟังด้วยความนอบน้อม พิจารณาพระธรรมที่ได้ฟังอย่างแยบคายด้วยความเป็นเหตุเป็นผลของพระธรรมอันลึกซึ้ง หากหลังจากที่ฟังนั้นเกิดความเข้าใจขึ้น โยนิโสมนสิการเกิดแล้ว โสภณเจตสิกอื่นรวมทั้งปัญญาก็เกิดด้วย แต่ยังเป็นเพียงปัญญาขั้นฟัง (สุตมยปัญญา) ครับ... ยังละความเห็นผิดจริงๆ ไม่ได้สักอย่าง แต่ละคลายความไม่รู้ได้บ้างนิดๆ จึงยังต้องฟังเพื่อเข้าใจต่อไป "สังขารขันธ์" ที่เกิดขณะฟังจะทำหน้าที่ปรุงแต่งจิตเองครับ...