ธรรมาภิสมัย...เตือนใจตนเอง
หนังสือ ธรรมาภิสมัย รวบรวม ๘๐ ประเด็นธรรม ที่เต็มเปี่ยมด้วยเหตุผลในพระธรรมในประเด็นต่างๆ หลากหลาย จากการบรรยาย และสนทนาธรรมของ... ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และเป็นหนังสือที่คัดสรรเรียงร้อยโดย ..คุณอัญญมณี มัลลิกะมาส
มีหลายประเด็นที่เป็นประโยชน์มากทีเดียว ซึ่งวันนี้จะขอนำเสนอประเด็นที่อ่านแล้วสอนใจตัวผมเองได้ดีเหลือเกิน กินใจมากครับ และคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อสหายธรรมทุกท่านด้วยเช่นกัน ขอเชิญอ่านครับ _ ประเด็นที่ ๓๔ _
การพยายามจะใช้สติพิจารณารูปนามในชีวิตประจำวัน จะทำอย่างไร?
ใช้อะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่สามารถจะเข้าใจสภาพที่จริงให้ถูกขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ใช้หรือทำ ถ้าใช้หรือทำก็คือ มีความเป็นเราหรือความเป็นตัวตน ซึ่งไม่หมดโดยการไปใช้หรือไปทำ ใช้เท่าไร ทำเท่าไรก็คือเราเป็นตัวตนอยู่ จะหมดตัวตนไม่ได้ ขณะนี้เองเป็นขณะที่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นคิด หรือว่า เป็นสติที่เข้าใจสภาพธรรม หรือเป็นสติปัฏฐานที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องรู้ด้วยปัญญาของตนเอง เป็นปัจจัจตัง เป็นสิ่งซึ่งเมื่อได้ศึกษาแล้ว อะไรเกิดขึ้นก็ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งนั้น
คนศึกษาธรรมแล้วมีมานะ จะว่าไง? ถ้าเป็นอย่างนั้น การศึกษาจะไม่มีประโยชน์ เราต้องรู้ว่าเราอุตสาหะสะสมปัจจัยในอดีตมาเนิ่นนานสองพันห้าร้อยกว่าปี ก็ต้องอุตสาหะมาบ้างที่จะสนใจธรรม แต่การอุตสาหะมาของเราด้วยเวลาที่ยาวนาน แล้วจะให้เป็นความสำคัญตนว่าเป็นเรา สมควรไหม?
การศึกษาธรรมที่สำคัญที่สุดก็คือ การตั้งจิตไว้ชอบ แต่ไม่ใช่เป็นเรา การสะสมนั่นเองทำให้เราเป็นผู้เข้ามาสู่ธรรมด้วยความอ่อนน้อมที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรมว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้และไม่ทรงแสดง กิเลสทั้งหลายที่มีอยู่ในเรามากมายมหาศาล ทั้งหยาบ ทั้งกลาง ทั้งละเอียด ไม่มีทางที่จะดับหมดได้เลย
ด้วยพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ ที่ได้ทรงแสดงธรรม ก็ทำให้เรามีโอกาสได้ยินได้ฟัง แล้วจะมาฟังด้วยการพอกพูนมานะ ความสำคัญตน ถูกหรือผิด สมควรไหม? หรือควรจะเป็นภาชนะที่สะอาดพอสมควรที่จะรองรับพระธรรมเพื่อจะได้อบรมเจริญปัญญาให้ยิ่งขึ้น ต้องรู้จริงๆ ว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ปริสุทธิ์มาก ไม่ใช่ว่าเราจะเอามาประดับตกแต่งให้เราสำคัญขึ้นมา หรือเป็นคนนั้นคนนี้ด้วยความสำคัญตน
แต่เอา * (พระธรรม) มาฟอก เอามาขัดล้าง เอามาชำระสิ่งที่ไม่ดี เพราะถ้าไม่ใช่พระธรรมแล้วไม่มีทางออกเลย มานะไม่มีทางออก โลภะก็จะไม่มีทางออก อกุศลทั้งหลาย ความเห็นผิดทั้งหลายไม่มีทางออก ( * เป็นสังขารขันธ์ซึ่งปรุงแต่งให้กุศลธรรมเจริญขึ้นจากการอบรมเจริญเหตุคือ การได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้วพิจารณาโดยแยบคายบ่อยๆ เนืองๆ ครับ)
เพราะฉะนั้น ไหนๆ ก็สะสมมาจนกระทั่งสามารถที่จะได้ยิน ได้ฟังปรมัตถธรรม ก็ควรเป็นผู้ที่เข้าใจให้ถูกต้องว่า การถึงธรรม การเข้าใจธรรม ต้องเป็นผู้ที่ละ หรือมีความอ่อนน้อมจริงๆ มีความอดทนมากกว่าคนที่ไม่ได้ศึกษา ถ้าคนที่ไม่ได้ศึกษา จะมีกายวาจาซึ่งเป็นไปตามกำลังของกิเลสทันที่ลืมคิดถึงพระธรรม ลืมคิดถึงพระรัตนตรัย
แต่ถ้าคนที่ศึกษาแล้วก็จะมี หิริ โอตตัปปะ ซึ่งขณะใดที่กุศลจิตเกิด มี "หิริ" "โอตตัปปะ" มีทั้ง "สติ" มีทั้ง "ศรัทธา" มี "โสภณเจตสิก" หลายอย่าง แต่เราไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็น สภาพธรรม ไม่ใช่ เรา
การศึกษาจริงๆ ถ้าศึกษาเพื่อประโยชน์ เพื่อ ละ อกุศล เพื่ออบรมเจริญปัญญาที่จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ต้องเป็นผู้ที่ขัดเกลาด้วย วันนี้เราอาจจะมี "มานะ" มาก พรุ่งนี้ลดลงสักนิด หายไปหน่อยหนึ่ง เพราะระลึกขึ้นได้ ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องวันละนิดๆ พร้อมกับปัญญาที่ศึกษาและเข้าใจธรรมมากขึ้น เราก็จะเป็นคนที่ไม่ใช่ศึกษาเปล่า และไม่ขัดเกลา (การ) พอกพูนความเป็นตัวตน หรือความสำคัญตน
เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินคนอื่นพูดอะไร (เกี่ยวกับตัวเราที่ไม่ดี) โกรธเขาหรือเปล่า หรือเขาชี้ขุมทรัพย์ให้ ถ้าเราไม่เป็นอย่างนั้น ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องโกรธ เขาอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แต่ละคนก็เป็นแต่ละคนจริงๆ ตามการสะสมของจิตแต่ละขณะ จะแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเราก็เป็นผู้เก็บส่วนดีทั้งหมดจากสิ่งที่กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (เก็บส่วนดีโดย "สติ" เกิดระลึกถึงสภาพธรรมที่ปรากฎในขณะนี้ทางทวารทั้ง ๖ ทีละทวารโดยไม่เลือกหรือเจาะจงนั่นเอง) และเป็นผู้ที่เห็นว่าการศึกษาเพื่อ ละ ไม่ใช่เพื่อ อะไร ทั้งสิ้น
ขอกราบอนุโมทนาในธรรมทานครับ
ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
บุคคลใดถ้าสามารถละบุคคล ตัวตนของตัวเองได้แล้วและรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม บุคคลนั้นก็จะละกิเลสได้ง่ายขึ้นค่ะ
สำหรับตัวเองแล้ว การที่จะละว่าไม่ใช่บุคคล ตัวตน นั้นยากมากค่ะ แต่โชคดีมากที่ได้มีโอกาสได้ศึกษาและเรียนรู้ในแนวทางที่ถูกต้อง ..จากการบรรยาย
และสนทนาธรรมของ... ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอกราบอนุโมทนาในธรรมทานค่ะ