เรื่องแบ่งบุญและการขอแบ่งบุญ?

 
Atom
วันที่  28 ก.ย. 2550
หมายเลข  4946
อ่าน  3,460

เรื่องเคยมีมาแล้วในบางกลุ่มของผู้ศรัทธาในพระรัตนตรัย อยากถามผู้รู้ว่า

๑.การแบ่งบุญของผู้ที่ทำบุญมาใหม่ๆ แก่ผู้มาขอบุญ ทราบมาว่าได้บุญ 100% จากผู้ที่ทำบุญ เช่น แม่เราไปทำสังฆทานมา กลับมาบ้านเรารู้ว่าท่านไปทำบุญมา เราขอแบ่งบุญจากท่าน เราได้ ๑๐๐% จากบุญที่เขาทำใช่มั๊ยครับ? พระพุทธเจ้าบอกว่าเหมือนการต่อไฟตระเกียง ผู้มาต่อ ก็ย่อมได้ไฟเท่ากับผู้ที่ถือไฟตระเกียงอยู่ฉันนั้น แต่ผู้ที่ถือไฟตระเกียงอยู่ไฟย่อมไม่หมดไปหรือลดน้อยลงไปแต่กลับมากขึ้น ซึ่งมาจากไฟที่ตัวเองถือส่วนหนึ่ง ไฟที่คนมาขอต่ออีกส่วนหนึ่ง

๒. หากมีคนที่คิดลึก แบบนักคณิตศาสตร์ ตรงที่ว่าการขอแบ่งบุญ แบ่งไป แบ่งมา ดังข้อ ๑ ผมขอแบ่งบุญจากแม่ และในทางกลับกันแม่ขอแบ่งบุญจากผม เราทำการแบ่งบุญกลับไปกลับมาหลายๆ ครั้ง อาจเป็น ๑๐๐ ครั้ง บุญจะทวีคูณเพิ่มขึ้นหรือไม่ในของแม่และของผม

๓ .สืบเนื่องจากข้อ 2 ผมได้เห็นวิธีการของคนบางกลุ่มมีการแบ่งบุญกรณี เช่น สมมติว่าหากอ. สุจินต์ มีการแสดงธรรมก็ย่อมเป็นบุญของอ. ที่อ.ได้รับ ผมสมมติเป็น ๑ และ วันนั้นมีคนไปฟังธรรม ๑๐๐ คน ย่อมได้บุญจากการฟังธรรมผมสมมติว่าแต่ละคนก็ได้เท่ากับ ๑ รวมกัน ๑๐๐ คน เท่ากับ ๑๐๐ หลังจากฟังธรรมเสร็จ คน ๑๐๐ คน ก็แบ่งบุญให้ อ.สุจินต์ และเมื่อ อ.สุจินต์ ได้รับบุญจาก คน ๑๐๐ คน ก็คือบุญ ๑๐๐ และอ.สุจินต์ ก็แบ่งกลับให้คน ๑๐๐ คนนั้น คน ๑๐๐ คนนั้นได้รับบุญกลับมา ๑๐๐+๑ บุญ ใช่มั๊ยครับ เป็นวิธีการที่ใช่ได้ถูกต้องใช่มั๊ยครับ และการแบ่งบูญนี้ได้ครบทั้งผู้รับ และผู้ให้หรือไม่ครับ? หรือได้อย่างเดียวคือผู้รับ (อ.สุจินต์) การแบ่งบุญนี้มีปรากฏในพระไตรปิฏกหลายตอน ผมขอยกตัวอย่าง ดังเช่นลูกจ้างของสุมนเศรษฐี ได้ทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ๘ ได้กระทำบุญที่เรียกว่าทิฐธรรมเวชนียกรรม แล้วสุมนเศรษฐีมาขอแบ่งบุญเนื่องจากรู้ว่า ลูกจ้างตนได้ทำบุญใหญ่ที่ประมาณไม่ได้ รู้จากเทวดาในเรือนตนที่ออกมา สาธุการฯในคราวนั้น ต่อมาอีกหลายภพหลายชาติ ๒ คนได้ตาย เกิดบนเทวโลก และมนุษย์เท่านั้นไม่ลงอบายภูมิเลย จนชาติสุดท้ายมาเกิดเป็นมนุษย์สุมนเศรษฐีมาเป็นสุมนสามเณร และลูกจ้างคนนั้นมาเป็น พระอนิรุทธะ ผู้เป็นเลิศในทิพจักขุ ในสมัยพระพุทธเจ้าโคดม ของเราครับ

ขอบคุณครับ หากใครมีความรู้ในทางธรรมก็ขอให้ช่วยกันแชร์หน่อยนะครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 28 ก.ย. 2550

ผู้ที่ทำบุญแล้วอุทิศให้กับผู้อื่นอนุโมทนา ผู้ให้ส่วนบุญชื่อว่ามีกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นบุญญกิริยาประเภทหนึ่ง ผู้ที่ทราบว่าผู้อื่นทำบุญมีกุศลจิตเกิดขึ้นอนุโมทนาในบุญ ชื่อ

ว่าเป็นบุญญกิริยาประเภทหนึ่ง บุญเป็นนามธรรม ไม่มีปริมาณเป็นเปอร์เซ็น ไม่มีการ

ได้เหมือนการให้วัตถุ แต่อยู่ที่จิตที่ดีเกิดขึ้นจึงเป็นบุญ มีสุขวิบากเป็นผล ตามหลักคำ

สอนของพระพุทธเจ้า การทำบุญทุกประเภทเพื่อการละ ไม่ใช่เพื่อได้มากๆ แต่เพื่อการ

สละอกุศล ดังนั้น ไม่ควรคิดถึงการแบ่งกันไปแบ่งกันมา แต่ควรเจริญกุศลทุกประการ

เพื่อการดับซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายที่สะสมมานาน

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 28 ก.ย. 2550

บุญหรือกุศลหมายถึงจิตที่ดีงาม เวลาเราเห็นใครทำความดี เราอนุโมทนาในใจก็ได้

เป็นกุศลจิต กุศลย่อมให้ผลเป็นสุข แม้จะไม่หวัง แต่ขณะที่เราหวังผลของกุศล

กุศลก็ลดลงแล้ว เพราะมีโลภะมาแทรก

การทำกุศลมี 2 อย่าง คือ

1. เพื่อวนเวียนอยู่ในวัฏฏ์

2. เพื่อออกจากวัฏฏ์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ย. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

การให้ของผู้มีปัญญาไม่เท่ากัน อานิสงส์ก็ไม่เท่ากัน แม้ การอนุโมทนาบุญนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้อนุโมทนามีปัญญามากน้อยต่างกัน กุศลจิตจึงประณีตหรือหยาบต่าง

กันครับ ไม่ใช่อนุโมทนาแล้วจะเท่ากันหมด บางคนรู้ว่าอนุโมทนาเป็นกุศล จิต

จึงหวังอยากได้กุศล ขณะนั้นเป็น (โลภะ) แล้วจึงอนุโมทนา แม้ขณะนั้นเป็นกุศล

แต่มีอกุศลเป็นบริวารเพราะหวังอานิสงส์จึงอนุโมทนา อานิสงส์ ผลบุญจึงน้อย

ลงเพราะอกุศลเป็นบริวารครับ ดังนั้น เราจึงถูกโลภะ ความต้องการเป็นเพื่อน

สนิทไปตลอด แม้ต้องการแม้บุญเพราะรู้ว่ามีอานิสงส์มากจึงอนุโมทนา เป็นต้น

โลภะจึงเป็นสมุทัย เป็นเหตุแห่งทุกข์เพราะแม้เกิดในสวรรค์หรือทำบุญมากมาย

แต่ไม่เข้าใจหนทางการดับกิเลสก็ไม่มีทางพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ และก็ต้อง

เวียนกลับมาเกิดในอบายภูมิอีกครับ ขออนุโมทนาครับ ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
คนส่งสาร
วันที่ 29 ก.ย. 2550
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
คนส่งสาร
วันที่ 29 ก.ย. 2550
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ