ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง [อุปนิสยโคจร]

[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 99
ในโคจร ๓ อย่างนั้น อุปนิสสยโคจร เป็นอย่างไร. ภิกษุประกอบ ด้วยคุณ คือกถาวัตถุ ๑๐ มีมิตรดี เข้าไปอาศัยมิตรดี ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังมิได้เคยฟัง ย่อมทำสิ่งที่ฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ข้ามความสงสัย ทำความเห็นให้ตรง ทำจิตให้ผ่องใส เมื่อศึกษาตาม ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา นี้ชื่อว่า อุปนิสสยโคจร.
อรรถกถาเมฆิยสูตร
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 389
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลฺยาณมิตฺโต ความว่า ชื่อว่ากัลยาณมิตร เพราะมีมิตรงาม คือ เจริญ ดี. บุคคลผู้มีมิตรสมบูรณ์ด้วยศีลคุณ เป็นต้น มีอุปการะด้วยอาการทั้งปวงอย่างนี้ คือ บำบัดทุกข์ สร้างสรรค์ หิตประโยชน์ ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรแท้จริง. ชื่อว่ากัลยาณสหาย เพราะ ไป คือดำเนินไปกับด้วยกัลยาณบุคคลตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ คือไม่ เป็นไปปราศจากกัลยาณมิตรบุคคลเหล่านั้น. ชื่อว่ามีพวกดี เพราะเป็นไป โดยภาวะที่โน้มน้อมโอนไปทางใจและทางกายในกัลยาณบุคคลนั่นแล.
ด้วย ๓ บท ย่อมยังความเอื้อเฟื้อให้เกิดขึ้นในการสังสรรค์กับกัลยาณมิตร. ในข้อนั้น มีลักษณะกัลยาณมิตรดังต่อไปนี้ กัลยาณมิตรในพระศาสนานี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา. ในลักษณะกัลยาณมิตรนั้น บุคคลมีศรัทธาสมบัติย่อมเชื่อ ปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต กรรม และผลแห่งกรรม ไม่ละทิ้งการแสวง หาประโยชน์เกื้อกูลในเหล่าสัตว์ อันเป็นเหตุแห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยการเชื่อนั้น มีศีลสมบัติ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ สรรเสริญ เป็นผู้โจทก์ท้วง เป็นผู้ติเตียนบาป เป็นผู้ว่ากล่าวอดทนต่อถ้อยคำของเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย มีสุตสมบัติ ย่อมทำถ้อยคำอันลึกซึ้งเกี่ยวด้วยสัจจะ และปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น มีจาคสมบัติ ย่อมเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ มีวิริยสมบัติ ย่อมเป็นผู้ริเริ่มความเพียร เพื่อปฏิบัติประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย มีสติสมบัติ ย่อมมีสติตั้งมั่น มีสมาธิสมบัติ ย่อมเป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตเป็นสมาธิ มีปัญญาสมบัติ ย่อมรู้สภาวะที่ไม่ผิดแผก. บุคคลนั้นเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคติธรรมอันเป็นกุศลด้วยสติ รู้สิ่งที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์แห่งสัตว์ทั้งหลายตามเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นผู้มีจิตแน่วแน่ในกุศลธรรมเหล่านั้นด้วยสมาธิ ย่อมเกียดกันสัตว์ทั้งหลายจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แล้วชักนำเข้าไปในสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยวิริยะ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บุคคลเป็นที่รัก เคารพ ยกย่อง เป็นผู้ว่ากล่าว ผู้อดทนถ้อยคำ ผู้กระทำถ้อยคำอันลึกซึ้งและไม่ชักนำในฐานะที่ไม่ควร
อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ เมื่อวานก็มีโอกาสได้ฟังเรื่องของ ลืมว่าเป็นธรรม แล้วก็ฟังเมื่อสักครู่นี้ ก็รู้ว่าเหตุปัจจัยของการที่จะค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏอย่างนี้เป็นธรรมแต่ละอย่าง ก็ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังครับ
อย่างการที่จะได้ฟังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะขอความละเอียดจากท่านอาจารย์ครับ อย่างเมื่อที่ร้อยเอ็ดตอนหนึ่ง ท่านอาจารย์ก็ได้พูดถึงเรื่องของ อารัมมณะ และโคจระ ครับ ซึ่งใน อรรถกถาเมฆิยสูตร ก็แสดงโคจรไว้ ๓ อย่าง ก็คือ อุปนิสยโคจร อารักขโคจร และอุปนิพันธโคจรครับ ซึ่งตามความเข้าใจ ก็คิดว่า อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องรู้อารมณ์ใดในขณะที่จิตนั้นเกิดขึ้นรู้แต่ถ้าในความหมายของ โคจร ตามความเข้าใจก็คิดว่า ก็เป็นอารมณ์ที่เป็นเหตุให้จิตนั้นได้เป็นที่พึ่งที่อาศัยที่จะเป็นเหตุให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกครับ อย่างข้อความใน อรรถกถาเมฆิยสูตร แสดงถึงว่า ภิกษุใดประกอบด้วยคุณ คือกถาวัตถุ ๑๐ มีมิตรงาม มีลักษณะดังกล่าวแล้ว ซึ่งอาศัยแล้วย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ย่อมทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้ผ่องแผ้ว ตัดความสงสัยเสียได้ ทำความเห็นให้ตรง ทำจิตให้เลื่อมใส ซึ่งเมื่อเธอศึกษาตาม ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ด้วยศีล ด้วยสุตตะ ด้วยจาคะ และด้วยปัญญา นี้ท่านเรียกว่า อุปนิสยโคจร ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ขอความเข้าใจเรื่องของ โคจร ซึ่งย่อมมีความต่างกับอารัมมณะครับ ตรงนี้ครับที่จะอะไรที่จะเป็นโคจร ให้น้อมไปสู่ในโคจรทั้ง ๓ อย่างครับ
ท่านอาจารย์: กล่าวข้อความตอนท้ายอีกครั้ง
อ.วิชัย: ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ย่อมทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้ผ่องแผ้ว
ท่านอาจารย์: อันนี้เป็นสิ่งที่ควรฟังไหม?
อ.วิชัย: เป็นสิ่งที่ควรฟังอย่างยิ่งครับ
ท่านอาจารย์: ต่างจากอารัมมณะแล้วใช่ไหม?
อ.วิชัย: ครับ ต่างแล้วครับ เพราะว่า อารมณ์ คือสิ่งที่จิตรู้ ไม่ว่าจะจิตเกิดขณะใด หมายความว่า ในการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โคจร ๓ หมายถึงอารมณ์ที่เป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้นทั้งอุปนิสยโคจรจนเป็นเหตุให้เกิดอารักขโคจร และอุปนิพันธโคจร ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จิตรู้ สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ทั้งหมด แต่ ถ้ามุ่งถึง โคจร ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่จะให้เกิดความเข้าใจถูก
อ.วิชัย: ครับ
ท่านอาจารย์: ฟังซ้ำอีกได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้น จะได้รู้ว่า ต่างกันอย่างไร
อ.วิชัย: ครับ ภิกษุใดประกอบด้วยคุณ คือกถาวัตถุ ๑๐
ท่านอาจารย์: เห็นไหม? แค่นี้ก็ไม่ใช่ทั่วๆ ไปแล้ว
อ.วิชัย: ใช่ครับท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นเบื้องต้นครับ มีลักษณะดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งอาศัยแล้ว ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
ท่านอาจารย์: เห็นไหม? ทุกคำต้องเป็นสิ่งที่สมควร ไม่ใช่ทั่วๆ ไป อะไรก็ได้
อ.วิชัย: ดังนั้น การที่จะได้อารมณ์ซึ่งเป็นเหตุให้ปัญญาซึ่งเป็นโคจรครับ ก็เริ่มค่อยๆ รู้ถึงความต่างครับในการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพยัญชนะต่างๆ ครับ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็คิดเหมือนกับเผินๆ ก็เหมือนกับว่า โคจร ก็คืออารมณ์ แต่ก็มิได้พิจารณาถึงความละเอียดว่า โคจร ในที่นี้ต้องเป็นเหตุให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่อารมณ์โดยทั่วๆ ไปครับ
ท่านอาจารย์: อารมณ์ที่เกิดจากรู้ว่าใครเป็นมิตรดี และมิตรดีคืออย่างไร และเมื่อรู้แล้ว ก็ได้รับสิ่งที่ไม่เคยได้รับมาก่อน เป็น โคจร
อ.วิชัย: ก็ละเอียดลงไปอีกครับ ตั้งแต่การที่จะรู้ว่า ใครเป็นมิตรดี ก็ไม่ใช่ง่ายครับ กับการที่จะรู้ว่า ใครเป็นมิตรที่ดีงามครับ
ท่านอาจารย์: ก็ดีนะ ที่เราไม่ละเลยพยัญชนะที่ต่างกันว่า ความหมายต่างกันด้วย
อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ก็เข้าใจขึ้นครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
อุปนิสสยโคจร เป็นอย่างไร [มหานิทเทส]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง