เรียนถาม การสืบต่อของปัจจัย?
เพราะสิ่งนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงมีได้ทุกสิ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น หาตัวตนของมันเองไม่ได้ ทั้งนามธรรม และรูปธรรม (สังขตธรรม) ถามว่า สายใย พลังงาน แม่เหล็ก ฯลฯ อะไร หรือไม่มี ที่ทำให้การสืบต่อของนามและรูป ส่วน ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเอกลักษณ์ คุณลักษณะ ที่เกิดร่วมกันเป็นปกติอยู่แล้ว พอจะเดาออก แต่นามธรรม ที่รับรู้อารมณ์ได้ มีวิญญาณมีอะไรเป็นสายใยมันถึงสืบต่อกันได้หรือมันต้องมันอย่างนั้นอยู่แล้ว (ไม่ได้แยกเป็นกุศลและอกุศลนะครับ) ที่บอกว่า นิพพาน ไม่ปรุงแต่ง ฯลฯ ในนิพพานนั้นมี นามและรูปหรือเปล่า?
ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณครับ สุดแล้วแต่กรุณาครับ
นามธรรมคือ จิตและเจตสิก เป็นปัจจัยแก่กันละกัน จิตขณะนี้เป็นปัจจัยแก่จิตขณะต่อไป สืบต่อกันไปอย่างนี้ นามธรรมเป็นปัจจัยแก่รูปธรรม รูปธรรมเป็นปัจจัยแก่นามธรรม พระนิพพานเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง พระนิพพาน ไม่มีรูปธรรม ไม่มีนามธรรม (สังขตธรรม)
นิพพาน เป็นอสังขตธรรม ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
นิพพานเป็นนามธรรม แต่ไม่เกิด ไม่ดับ
อนิจจัง ไม่เที่ยง แต่ นิพพาน เที่ยง
ทุกขัง เป็นทุกข์ แต่ นิพพาน เป็นสุข
อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน นิพพานก็ไม่ใช่ตัวตนด้วย
"ถามว่า สายใย พลังงาน แม่เหล็ก ฯลฯ อะไร หรือไม่มี ที่ทำให้การสืบต่อของนามและรูป ส่วน ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเอกลักษณ์ คุณลักษณะ ที่เกิดร่วมกันเป็นปกติอยู่แล้ว พอจะเดาออก" เดี๋ยวนะครับ ใจเย็นๆ คิดว่าที่คุณ natthaset เดาออก มันจะมีบัญญัติทางวิชาวิทยาศาสตร์ มาปนเปกันทั่วไปหมดเลยนะครับ ถ้าเรากำลังศึกษาพระธรรม จะเป็นการดีกว่าไหมที่จะพักความรู้เดิมในวิทยาศาสตร์ไว้ก่อน การจะคิดเชื่อมโยงย่อมเกิดขึ้นได้ ถูกหรือผิด ก็ยังไม่รู้ จึงไม่ควรจะปักใจลงไปว่าถูกแล้ว และก็ไม่ควรจะคิดให้ขัดแย้งกันเองในศาสตร์ทั้งสอง จนอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาพระธรรมได้ ควรค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป สั่งสมความเป็นผู้ที่ละเอียด หนักแน่นในเหตุผล ตรึกตรอง พิจารณา ใส่ใจในสิ่งที่กำลังศึกษาอย่างแยบคาย ซึ่งจะเป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้นได้ทีละนิดๆ ครับ สายใย พลังงาน แม่เหล็ก เป็นบัญญัติทางวิทยาศาสตร์ (คิดว่าน่าจะมีทั้งในชีววิทยา เคมี และฟิสิกส์ ครับ) ไม่ใช่"นาม"แน่นอน เพราะไม่ใช่สภาพรู้ ธาตุรู้หรือ อาการรู้ในอารมณ์ใดๆ ได้เลยและก็ไม่มีปรากฏว่าเป็น"รูป"ใดใน ๒๘ รูปเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์ศึกษาในสิ่งที่เป็นรูปปรมัตถ์ แต่ไม่ได้เข้าใจในตัวจริงๆ ของรูปปรมัตถ์ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถ้าเราพูดถึง สายใย พลังงาน แม่เหล็ก ซึ่งเป็นชื่อที่ได้จากการศึกษาตัวจริงๆ ของรูปปรมัตถ์ ชื่อทั้งสามเหล่านั้นไม่มีจริงเลย เพราะไม่มีสภาพเกิด ดับ แต่รูปปรมัตถ์มีจริง ซึ่งเมื่อแยกย่อยลงไป จนกระทั่งแยกไม่ได้อีกในกลุ่มของรูปที่เล็กและละเอียดที่สุด ก็ไม่พ้นไปจากมหาภูตรูป ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟลม ซึ่งมีอุปาทายรูป ๔ คือ สี กลิ่น รส โอชา อาศัยมหาภูตรูปเกิดร่วมด้วย เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน แต่อุปาทายรูปไม่ได้เป็นปัจจัยให้มหาภูตรูปเกิดแต่อย่างใด มหาภูตรูปเท่านั้นที่เป็นที่อาศัยเกิดของอุปาทายรูป รูป ๘ รูปนี้แยกจากกันไม่ได้เลย เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดที่เกิดพร้อมกัน และดับพร้อมกันอย่างรวดเร็ว จะมีแต่มหาภูตรูป ๔ โดยไม่มี อุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด) ๔ รูปนี้ไม่ได้เลย แต่ละรูปก็มีลักษณะเฉพาะต่างๆ กันไป และก็มีสมุฏฐาน คือที่เกิดต่างๆ กันด้วย ขอยกตัวอย่าง เช่น รูปที่เกิดจากอุตุ (อุตุชรูป) มี ๔ กลาป คือ
๑. สุทธัฏฐกกลาป มี อวินิพโภครูป ๘ รูปเท่านั้น ไม่มีรูปอื่นๆ เกิดร่วมด้วยเลย ในรูปที่มีใจครองนั้น เมื่อปฏิสนธิเกิดขึ้นนั้นในอุปาทขณะ ฐีติขณะ และภวังคขณะของปฏิสนธิจิตมีกัมมชรูปเกิด ตามที่ได้กล่าวแล้ว แต่ในฐีติขณะของปฏิสนธิจิตนั้นเอง อุตุคือ ธาตุไฟ ในกัมมชกลาปที่เกิดนั้นก็เป็นสมุฏฐานให้อุตุชรูป ที่เป็นสัทธัฏฐกลาปเกิดขึ้น และอุตุชสุทธัฏฐกกลาปนี้ จะเกิดขึ้นในฐีติขณะ ของรูปต่อๆ ไป อวินิพโภครูป ๘ คือมหาภูตรูป ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) + อุปาทายรูป ๔
(สี กลิ่น รส โอชา)
๒. สัททนวกกลาป กลุ่มของเสียงซึ่งมีรูปรวมกัน ๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ + สัททรูป ๑ ขณะใดที่รูปเสียงไม่ได้เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานให้วจีวิญญัติรูปกระทบที่ฐานของเสียงขณะนั้นเสียงเกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐานเช่น เสียงรถยนต์ เสียงน้ำตก เป็นต้น
เสียงหรือสัททรูป ไม่ใช่วจีวิญญัติรูป เสียงเป็นรูปที่กระทบกับโสตปสาทรูป เป็นปัจจัยให้เกิดโสตวิญญาณจิต เสียงบางเสียงก็เกิดจากจิต และบางเสียงก็ไม่ได้เกิดจากจิตเช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงลมพายุ เสียงเครื่องยนต์เสียงกลอง เสียงวิทยุ เสียงโทรทัศน์ เป็นต้น (ในพระไตรปิฎกไม่มีคำว่า พลังงานเสียง พลังงานแม่เหล็ก พลังงานจลน์ พลังงานศักย์ ไม่มีหน่วยเป็นจูล วัตต์ เดซิเบล หรืออะไรทำนองนี้เลยครับ)
๓. ลหุตาทิเอกาทสกกลาป กลุ่มของวิการรูป ซึ่งมีรูปรวมกัน ๑๑ รูปคือ อวินิพโภครูป ๘ + วิการรูป ๓ อุตุย่อมเป็นสมุฏฐานหนึ่งทำให้เกิดรูปที่เบา รูปที่อ่อน และรูปที่ควรแก่การงาน ถ้าอุตุไม่สม่ำเสมอก็เกิดโรค และกายส่วนใดไม่มีวิการรูป แม้จิตก็เป็นสมุฏฐาน ให้กายส่วนนั้นเคลื่อนไหวไปตามความต้องการไม่ได้
(วิการรูป ๓ คือ อาการวิการของมหาภูตรูปที่เบา ๑ อ่อน ๑ ควรแก่การงาน ๑)
๔. สัททลหุตาทิทวาทสกกลาป กลุ่มของวิการรูป และเสียงรวมกันทั้งสิ้น ๑๒ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ + วิการรูป ๓ + สัททรูป ๑ ในขณะที่กลุ่มของวิการรูปนั้น มีเสียงเกิดร่วมด้วย เช่น ดีดนิ้ว ปรบมือ เป็นต้น
ส่วนรูปอื่นๆ ท่านสามารถอ่านได้ในหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป ซึ่งแต่งโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ครับ
ทำไมถึงได้ละเอียดอย่างนี้ละครับ!
ถามว่า ความหมาย ทั้งรายละเอียดทั้งหมดนี้เป็นอภิธรรมมาจากพระไตรปิฎกใช่ไหมครับ และเป็นพุทธพจน์ หรือเป็นอรรถกถาจารย์อธิบายทีหลังครับ
ปัญญาของคนทำไมเลื่อมล้ำมากขนาดนี้ครับ!!!!!
ขอบคุณมากๆ เลยครับ
ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านเป็นผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมจนเข้าใจดีมาก ถ้า คุณ Natthaset เกิดสงสัยตรงไหน ก็ลองเข้าไปค้นในพระอภิธรรมปิฎก เพื่อตรวจทานความถูกต้องได้ครับ ถูกไม่ถูกยังไง หรือพบข้อความน่าสนใจ ก็บอกกันได้นะครับ