เมื่อถูกครอบงำ...ย่อมเกิดในนรก ! [เทวทัตตสูตร]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๓๑๔
๗. เทวทัตตสูตร
[๙๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขา
คิขฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์ เมื่อพระเทวทัตหลีกไปแล้วไม่นานนัก
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภถึงพระเทวทัต ตรัสกะ
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นความดีแล้ว ที่ภิกษุ
พิจารณาความวิบัติของตนโดยกาลอันควร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นความดีแล้ว ที่ภิกษุพิจารณาความวิบัติของผู้อื่นโดยกาลอันควร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นความดีแล้ว ที่ภิกษุพิจารณาถึงสมบัติของตนโดยกาลอันควร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นความดีแล้ว ที่ภิกษุพิจารณาถึงสมบัติของผู้อื่นโดยกาลอันควร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๘ ประการ ครอบงำย่ำยีแล้ว ต้องไปบังเกิดในอบาย ในนรกอยู่ชั่วกัป แก้ไขไม่ได้ อสัทธรรม ๘ ประการ เป็นไฉน คือ
ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ สักการะ ๑ ความเสื่อมสักการะ ๑ ความปรารถนาลามก ๑ ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัต มีจิตอันอสัทธรรม ๘ ประการนี้แลครอบงำย่ำยีแล้ว ต้องไปบังเกิดในอบาย ในนรกอยู่ชั่วกัป แก้ไขไม้ได้.
เพิ่มเติมเทวทัตตสูตรในพระสูตรเช่นกัน สหายธรรมค่อยๆ อ่านครับ ยาวหน่อย พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ ๕๔๘
๑๐. เทวทัตตสูตร
ว่าด้วยพระเทวทัตเยียวยาไม่ได้เพราะอสัทธรรม ๓
[๒๖๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตผู้อันอสัทธรรม ๓ ประการครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เป็นผู้เกิดในอบาย เกิดในนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ อสัทธรรม ๓ ประการเป็นไฉน? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัต ผู้อันความเป็นผู้มีความปรารถนาลามกครองงำย่ำยีจิตแล้ว เป็นผู้เกิดในอบายเกิดในนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ พระเทวทัตผู้อันความเป็นผู้มีมิตรชั่วครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เป็นผู้เกิดในอบาย เกิดในนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ ก็เมื่อมรรคและผลที่ควรการทำให้ยิ่งมีอยู่ พระเทวทัตถึงความพินาศเสียในระหว่าง เพราะการบรรลุคุณวิเศษมีประมาณเล็กน้อย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตผู้อันอสัทธรรม ๓ ประการนี้แล ครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เป็นผู้เกิดในอบาย เกิดในนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้.
ขอใครๆ อย่าได้เป็นผู้มีความปรารถนาลามก อุบัติในโลกเลย คติของบุคคลผู้มีความปรารถนาลามกเช่นไรท่านทั้งหลายจงรู้คติเช่นนั้นด้วยเหตุแม้นี้ เราได้สดับมาแล้วว่า พระเทวทัต โลกรู้กันว่า เป็นบัณฑิต ยกย่องกันว่า มีตนอันอบรมแล้ว ดุจรุ่งเรืองอยู่ด้วยยศ ดำรงอยู่แล้ว พระเทวทัตนั้นประพฤติตามความประมาท เบียดเบียนพระตถาคตพระองค์นั้น ถึงอเวจีนรกอันมีประตู ๔ น่าพึงกลัวก็ผู้ใดพึงประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายผู้ไม่กระทำกรรมอันลามก ผลอันลามกย่อมถูกต้องผู้นั้นแล ผู้มีจิตประทุษร้าย ผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ผู้ใดพึงสำคัญสมุทรว่าจะประ-ทุษร้ายได้ด้วยหม้อยาพิษ (หม้อเดียว) ผู้นั้นพึงประทุษร้ายด้วยหม้อยาพิษนั้นไม่ได้เพราะว่าสมุทรที่น่ากลัวใหญ่มากฉันใดผู้ใดย่อมเบียดเบียนพระตถาคต ผู้ดำเนินไปโดยชอบมีจิตสงบระงับ ด้วยความประทุษร้าย ความประทุษร้ายย่อมไม่งอกงามในพระตถาคตพระองค์นั้น ฉันนั้นภิกษุผู้ดำเนินไปตามทางของพระพุทธเจ้าหรือของพระสาวก ของพระพุทธเจ้าใดพึงถึงความสิ้นไปแห่งทุกข์ ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต พึงกระทำ ผู้เช่นนั้น ให้เป็นมิตร และพึงส้องเสพผู้นั้น.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบเทวทัตตสูตรที่ ๑๐จบวรรคที่ ๔
อรรถกถาเทวทัตตสูตร
ในเทวทัตตสูตรที่ ๑๐ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-ในพระสูตร มีอาทิว่า ตีหิ ภิกฺขเว อสทฺธมฺเมหิ อภิภูโตมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร.
มีเรื่องพิสดารว่า เมื่อพระเทวทัต ตกอเวจีมหานรกแล้ว ภิกษุผู้เป็นพวกของพระเทวทัต และพวกอัญญเดียรดีย์ทั้งหลาย ได้พากันโพนทะนาว่าพระเทวทัตถูกพระสมณโคดมสาปแช่ง จึงถูกแผ่นดินสูบ. คนทั้งหลายได้ฟังดังนั้นแล้ว พวกไม่เลื่อมใสในพระศาสนา เกิดความสงสัยขึ้นว่า ข้อนี้จะพึงเป็นเหมือนที่คนทั้งหลายพูดหรือไม่. ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลพฤติการณ์นั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสปฏิเสธความเข้าใจผิดของคนเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตไม่ให้การสาปแช่งแก่ใครๆ เพราะฉะนั้น พระเทวทัตจึงไม่ใช่ถูกเราตถาคตสาปแช่ง พระเทวทัตตกนรกโดยกรรมของตนนั่นแหละ ดังนี้ จึงตรัสพระสูตรนี้โดยเป็นเหตุเกิดแห่งเรื่องนี้.บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อสทฺธมฺเมหิ ได้แก่ธรรมของอสัตบุรุษ.
บทว่า อเตกิจฺโฉ ความว่า เยียวยาไม่ได้ อธิบายว่า แก้ไขไม่ได้ เพราะการเกิดในอเวจี ไม่มีการแก้ไข เหตุที่พระเทวทัตเป็นผู้ไม่ควรที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะให้กลับใจ. พระเทวทัต ชื่อว่า ปาปิจฺโฉ เพราะมีความปรารถนาลามกเป็นไป โดยประสงค์จะประกาศคุณความดี (ของตน) ที่ไม่มีอยู่. ภาวะของผู้มีความปรารถนาลามกนั้น ชื่อว่า ปาปิจฺฉตา. ถูกความปรารถนาลามกนั้น (ครอบงำแล้ว) . พระเทวทัตนั้นเกิดความปรารถนาขึ้นว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้า เราจักปกครองหมู่สงฆ์. พระเทวทัตชื่อว่า มิตรเลวทรามเพราะมีมิตรเลวทราม คือลามก มีพระโกถาลิกะเป็นต้น. ภาวะของผู้มีมิตรลามกนั้น ชื่อว่า ปาปมิตฺตตา. ถูกความเป็นผู้มีมิตรลามกนั้นครอบงำแล้ว.
บทว่า อุตฺตริกรณีเย ความว่า เมื่อมรรคผลอันเป็นกรณียกิจเบื้องสูง อันบุคคลพึงบรรลุด้วยฌานและอภิญญา อันตนยังไม่ได้บรรลุแล้วมีอยู่ อธิบายว่ายังไม่ได้บรรลุมรรคผลนั้น ด้วยอาการอย่างนั้น.
บทว่า โอรมตฺตเกน ความว่า เพียงเล็กน้อย คือเพียงฌานและอภิญญาเท่านั้น.
บทว่า วิเสสาธิคเมน ความว่า เพราะบรรลุอุตตริมนุสสธรรม.
บทว่า อนฺตรา แปลว่า ในท่ามกลาง.
บทว่า โวสานํ อาปาทิ ความว่า ยังไม่เสร็จกิจเลย แต่สำคัญว่า เราเสร็จกิจแล้ว จึงถึงความพินาศจากสมณธรรม. ด้วยประการดังพรรณนามานี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศโทษในความเป็นปุถุชนโดยพิเศษด้วยพระสูตรนี้ว่า ความเป็นปุถุชนของเขาหนักเพราะเหตุที่จะยังสมบัติ มีฌาน และอภิญญาเป็นที่สุดให้เกิดขึ้นได้แต่ก็ยังละเหตุแห่งทุกข์มีอย่างต่างๆ อันจะนำอนัตถะมาให้มิใช่น้อย การอวดคุณความดีที่ไม่มีอยู่ การคบหาอสัตบุรุษ และการประกอบความเกียจคร้านเนืองๆ ไม่ได้จักได้ประสบโทษที่แก้ไขไม่ได้ ตั้งอยู่ตลอดกัป ในอเวจีมหานรก ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้. ศัพท์ว่า มา เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่าปฏิเสธ.
บทว่า ชาตุ แปลว่า โดยส่วนเดียว. บทว่า โกจิ เป็นคำเรียกรวมทั้งหมด.
บทว่า โลกสฺมึ ได้แก่ ในสัตวโลก. ท่านอธิบายไว้ว่า ขอบุคคลไรๆ ในสัตวโลกนี้ อย่าได้มีความปรารถนาลามกโดยส่วนเดียว.
บทว่า ตทิมินาปิ ชานาถ ปาปิจฺฉานํ ยถา คติ ความว่า คติอย่างไรคือความสำเร็จอย่างไร ได้ผลในภายหน้าเช่นใด ของบุคคลผู้มีความปรารถนาลามก เธอทั้งหลายจงรู้คตินั้น แม้ด้วยเหตุนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงอ้างพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง จึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า ปณฺฑิโตติ สมญฺญาโต ความว่า ที่รู้กันว่าเป็นบัณฑิต เพราะเป็นคนคงแก่เรียน.
บทว่า ภาวิตตฺโตติ สมฺมโต ความว่า ที่ยกย่องกันว่ามีตนอันอบรมแล้ว ด้วยฌานและอภิญญาทั้งหลาย. จริงอย่างนั้น พระเทวทัตนั้น ในชั้นต้นได้เป็นผู้ที่แม้พระธรรมเสนาบดีก็สรรเสริญว่า เป็นโคธิบุตร ผู้มีฤทธิ์มาก เป็นโคธิบุตร ผู้มีอานุภาพมาก.
บทว่า ชลํว ยสสา อฏฺฐา เทวทตฺโตติ วิสฺสุโต ความว่า ได้มีชื่อระบือ คือปรากฏอย่างนี้ว่าพระเทวทัตเป็นเหมือนรุ่งเรื่อง เป็นเหมือนเด่นอยู่ ดำรงอยู่แล้ว ด้วยเกียรติและบริวารของตน. ปาฐะว่า เม สุตํ ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า ข้าพเจ้าได้ฟังแล้ว คือเพียงได้ฟังมาได้แก่ การที่พระเทวทัตเป็นบัณฑิตเป็นต้นนั้น เป็นเพียงที่ข้าพเจ้าฟังมาเท่านั้น เพราะพระเทวทัตเป็นอย่างนั้น โดยสองสามวันเท่านั้น.
บทว่า โส ปมาทมนุจิณฺโณ อาสชฺช นํ ตถาคตํ ความว่าพระเทวทัตนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ประมาณของตน ถึงความประมาท โดยแต่งตั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เสมอกับตน ว่า ถึงพระพุทธเจ้าจะเป็นศากยบุตร แม้เราก็เป็นศากยบุตร ถึงพระพุทธเจ้าจะเป็นพระสมณะ แม้เราก็เป็นพระสมณะ ถึงพระพุทธเจ้าจะเป็นผู้มีฤทธิ์แม้เราก็เป็นผู้มีฤทธิ์ ถึงพระพุทธเจ้าจะมีทิพจักษุ แม้เราก็มีทิพจักษุ ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะมีทิพโสต แม้เราก็มีทิพโสต ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะได้เจโตปริยญาณ แม้เราก็ได้เจโตปริยญาณ ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะรู้ธรรมที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน แม้เราก็รู้ธรรมเหล่านั้น ดังนี้ กระทบกระทั่ง เบียดเบียนพระตถาคตเจ้า เพราะถูกมารดลใจ (ให้ฮึกเหิม) ว่าบัดนี้ เราจักเป็นพระพุทธเจ้า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ปมาทมนุชิโน ดังนี้บ้าง. คำนั้นก็มีใจความว่าเมื่อถึงความประมาทตามนัยที่กล่าวแล้ว อาศัยความประมาท เสื่อมคลายจากฌานและอภิญญา พร้อมกับจิตตุปบาทที่วางตนคู่กัน (ตีเสมอ) พระพุทธเจ้าทีเดียว. บทว่า อวีจินิรยํ ปตฺโต จตุทฺวารํ ภยานกํ ความว่า ถึงนรกใหญ่ที่ได้นามว่า อเวจี เพราะเปลวไฟ หรือสัตว์ที่เกิดในนรกนั้น มีอยู่เป็นนิรันดร ชื่อว่า มี ๔ ประตู เพราะประกอบด้วยประตูใหญ่ ๔ ประตู ในด้านทั้ง ๘ อันน่ากลัวยิ่งนัก ด้วยสามารถแห่งการถือปฏิสนธิ. สมดังทีพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
(ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย) ก็มหานรกนั้น มี ๔ มุม ๔ ประตู แยกออกเป็นห้องๆ มีกำแพงเหล็กเป็นขอบเขต ครอบด้วยฝาเหล็ก มีพื้นปูด้วยเหล็ก ไฟลุกโชนประกอบด้วยเปลว แผ่ไปไกล ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ดังนี้.
บทว่า อทุฏฐสฺส ได้แก่ ผู้มีจิตไม่ถูกโทสะประทุษร้ายแล้ว.
บทว่าทุพฺเภ ได้แก่ ทุสฺเสยฺย (แปลว่า พึงประทุษร้าย) .
บทว่า ตเมว ปาปํผุสติ ความว่า ผลชั่ว คือ ผลของบาปที่ต่ำทราม จะถูกต้องคือถึง ได้แก่ ครอบงำคนเลวทราม ผู้ประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายนั้นนั่นแหละ.
บทว่า เภสฺมา ความว่า ทะเลเป็นเสมือนให้คนกลัว เพราะความกว้างและความลึก อธิบายว่า ทั้งกว้างทั้งลึก.
บทว่า วาเทน ได้แก่ด้วยโทสะ. บทว่า วิหึสติ ความว่า เบียดเบียน คือ รุกราน.
บทว่า วาโท ตมฺหิ น รูหติ ความว่า โทสะที่ผู้อื่นปลูกฝังในพระตถาคตเจ้านั้น จะไม่งอกขึ้นคือจะไปตั้งอยู่ อธิบายว่า จะไปให้เกิดความพิการ (ความกระเทือนพระทัย) แก่พระองค์ เหมือนหม้อยาพิษ (หม้อเดียว) จะทำให้เกิดความแปรเปลี่ยนแก่สมุทรหาได้ไม่ ฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงว่า พระเทวทัตเป็นผู้ไม่พ้นไปจากทุกข์ ด้วยการทรงแสดงว่า พระเทวทัตผู้ประกอบด้วยความปรารถนาลามกเป็นต้น ได้เข้าถึงนรกแล้ว ด้วยคาถา ๖ คาถาอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงเหตุสิ้นทุกข์ ของผู้ประกอบด้วยธรรมที่ตรงกันข้ามกับความปรารถนาลามกนั้น จึงได้ตรัสคาถาสุดท้ายไว้ว่า ตาทิสํ มิตฺตํ เป็นต้น.
พระคาถาสุดท้ายมีเนื้อความว่า ภิกษุเดินตามทาง คือดำเนินตามทางเดินของผู้ใดที่ปฏิบัติชอบแล้ว ได้แก่ปฏิบัติโดยชอบแล้ว จะพึงถึงความสิ้นไป คือความสิ้นสุดแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น ด้วยการประกอบ ด้วยคุณความดีมีความปรารถนาน้อยเป็นต้น ภิกษุผู้เป็นบัณฑิตคือ ผู้มีปัญญาควรทำผู้เช่นนั้นคือพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้า ให้เป็นมิตรของตน คือทำความสนิทสนมกับท่าน และควรคบหาสมาคม คือควรเข้าไปนั่งใกล้ท่านนั่นเอง. จบอรรถกถาเทวทัตตสูตรที่ ๑๐--------------------------------------------------------------------------------
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เรื่อง ซาบซึ้ง....กับพระเทวทัต....ในบางตอน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 198 ข้อความบางตอนจาก เรื่องพระเทวทัต
พระเทวทัตถูกธรณีสูบ
พวกสาวกพาพระเทวทัตมา วางเตียงลงริมฝั่งสระโบกขรณีใกล้
พระเชตวันแล้ว ต่างก็ลงไปเพื่อจะอาบน้ำในสระโบกขรณี.
แม้พระเทวทัตแล ลุกจากเตียงแล้วนั่งวางเท้าทั้งสองบนพื้นดิน
เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลง. เธอจมลงแล้วโดยลำดับเพียงข้อเท้า,
เพียงเข่า, เพียงเอว, เพียงนม, จนถึงคอ, ในเวลาที่กระดูกคางจดถึง
พื้นดิน ได้กล่าวคาถานี้ว่า
"ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้
เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี
ฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะ แต่
ละอย่าง) เกิดด้วยบุญตั้งร้อย๑ ว่าเป็นที่พึ่ง ด้วย
กระดูกเหล่านี้พร้อมด้วยลมหายใจ."
นัยว่า "พระตถาคตเจ้าทรงเห็นฐานะนี้ จึงโปรดให้พระเทวทัต
บวช. ก็ถ้าพระเทวทัตนั้น จักไม่ได้บวชไซร้, เป็นคฤหัสถ์ จักได้
ทำกรรมหนัก, จักไม่ได้อาจทำปัจจัยแห่งภพต่อไป, ก็แลครั้นบวชแล้ว
จักทำกรรมหนักก็จริง, (ถึงดังนั้น) ก็จะสามารถทำปัจจัยแห่งภพต่อไป
ได้" เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงโปรดให้เธอบวชแล้ว.
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญพระสาวกผู้เป็นเอตทัคคะทางด้านต่างๆ แม้ใน ขณะที่พระสาวกต่างเดินจงกรมกับภิกษุผู้มีอัธยาศัยเดียวกับตน แต่สำหรับ พระเทวทัตพระพุทธองค์ทรงดำริไว้เช่นใด ขอเชิญอ่านครับ...................
เรื่อง แม้การจงกรม ผู้มีอัธยาศัยเดียวกันย่อมเดินไปด้วยกันด้วย..? ข้อความบางตอนจาก พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ ๔๔๑-๔๔๓ ๕. จังกมสูตร
ว่าด้วยการจงกรมของภิกษุหลายรูป
[๓๖๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏกรุงราชคฤห์. ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระมหากัสสปก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้-มีพระภาคเจ้า ท่านพระอนุรุทธก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระปุณณมันตานีบุตรก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระอุบาลีก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระอานนท์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลาบรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระ-ภาคเจ้า แม้พระเทวทัตก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[๓๖๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นสารีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีปัญญามาก พวกเธอเห็นมหาโมคคัลลานะกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่.ภิ. เห็น พระเจ้าข้า.พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีฤทธิ์มาก พวกเธอเห็นมหากัสสป กำลังจงกรมอยู่ด้วยกัน กับภิกษุหลายรูปหรือไม่.ภิ. เห็น พระเจ้าข้า.พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธุตวาท พวกเธอเห็นอนุรุทธ กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่.ภิ. เห็น พระเจ้าข้า.พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้มีทิพยจักษุ พวกเธอเห็นปุณณมันตานีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่.ภิ. เห็น พระเจ้าข้า.พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธรรมกถึก พวกเธอเห็นอุบาลี กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่.ภิ. เห็น พระเจ้าข้า.พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้ทรงวินัย พวกเธอเห็นอานนท์กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่.ภิ. เห็น พระเจ้าข้า.พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นพหูสูต พวกเธอเห็นเทวทัต กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่.
ภิ. เห็น พระเจ้าข้า.พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีความปรารถนาลามก.
[๓๖๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดีย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี................---------------------------------------------------------------------------
กรุณาแสดงรายละเอียดที่พระเทวทัตทูลขอวัตถุ๕ประการจากพระพุทธเจ้า
ขอให้ช่วยวิเคราะห์กรณีต่อไปนี้
1 พระอริฏฐะกล่าวตู่พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า
2 กรณีพระปุราณะไม่ยอมรับมติแห่งปฐมสังคายนา
3 กรณีพระวัชชีบุตรแห่งเมืองเวสาลีประกาศวัตถุ ๑๐ ประการ
4 การแสดงพระธัมมจักรกัปปวัตนสูตของพระผู้มีพระภาคเกิดขึ้น ๓ ครั้ง ครั้งที่๑ถือว่าเป็นต้นกำเนิดเถรวาท ครั้งที่๒เป็นต้นกำเนิดมหายาน และครั้งที่๓เป็นต้นกำเนิดของวัชรยาน อยากทราบที่มาข้อมูลเพื่อการอ้างอิงเอกสารวิทยานิพนธ์
ตอบความเห็นที่ ๑๓
วัตถุ ๕ ประการที่พระเทวทัตขอคือ
๑.ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ๒ภิกษุทั้งหลายพึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิตรูปใดยินดีกิจนิมนต์รูปนั้นพึงต้องโทษ
๓.ภิกษุทั้งหลายพึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิตรูปใดยินดีคหบดีจีวร รูปนั้น พึงต้องโทษ
๔.ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิตรูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บังรูปนั้นพึงต้องโทษ
๕.ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัต ผู้อันความเป็นผู้มีความปรารถนาลามกครองงำย่ำยีจิตแล้ว เป็นผู้เกิดในอบายเกิดในนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ พระเทวทัตผู้อันความเป็นผู้มีมิตรชั่วครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เป็นผู้เกิดในอบาย เกิดในนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ ก็เมื่อมรรคและผลที่ควรการทำให้ยิ่งมีอยู่ พระเทวทัตถึงความพินาศเสียในระหว่าง เพราะการบรรลุคุณวิเศษมีประมาณเล็กน้อย
สาธุ