ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๘
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียด ค่อยๆ ให้เข้าใจในความไม่มีเรา เป็นแต่เพียงธรรม เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง คำที่ได้ฟังทั้งหมดก็จะแจ่มแจ้งจนถึงขั้นประจักษ์ได้ แต่ต้องมาจากการที่เข้าใจขึ้นๆ
~ มิตรที่ดีคือหวังดีต่อผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของคนอื่น กัลยาณมิตรสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เกิดความเข้าใจที่จะละกิเลสของบุคคลนั้นเอง ใครๆ ก็ไปละความไม่รู้ให้ใครไม่ได้ นอกจากอาศัยคำที่กล่าวถึงความจริงที่เข้าใจได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ ต้องฟังละเอียดจริงๆ ว่าฟังทั้งหมดเพื่อให้รู้ความจริงว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราไปทำ ไม่มีใครที่จะเป็นผู้สร้าง ผู้ทำ แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น และเกิดแล้วก็ไม่ได้ตั้งอยู่นานเลย เกิดแล้วก็ดับไป
~ คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยไม่ให้เข้าใจผิด ไม่ให้หลงผิด ไม่ให้ปฏิบัติผิด ถ้าหลงผิดก็ห่างไกลจากพระสัทธรรม ห่างไกลจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ยังไม่มีการรู้สึกเลยว่าทุกวันนี้ ลำบากทุรนทุราย มากน้อยเพราะโลภะความติดข้อง จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สภาพธรรมที่ไม่ดีมีอะไรบ้าง ระดับไหนบ้าง และสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายได้อย่างไร เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะละสิ่งที่เราไม่เห็นโทษ ทุกคนมีความต้องการไม่รู้จบเพราะไม่เคยเห็นโทษของความติดข้องเลย แต่ต้องรู้ว่าความติดข้องมากๆ ก็ต้องมาจากความติดข้องเล็กๆ น้อยๆ เล็กน้อยทุกวันมากไหม สะสมไว้เยอะๆ ก็ปรากฏว่ามาก
~ กิเลสมากมายแค่ไหนในสังสารวัฎฏ์ ยิ่งกว่าจักรวาลไม่มีที่จะบรรจุเลย แล้วการฟังธรรมของเราได้เข้าใจแค่นี้ แล้วจะไปดับกิเลสจะประจักษ์แจ้งเป็นไปได้หรือ แต่ความเป็นตัวตนมีมากที่อยากจะรู้อย่างนั้น อยากจะทำอย่างนั้น หรืออยากจะให้เร็วขึ้น เห็นไหม? มาในรูปแบบสารพัด ไม่เคยรู้เท่าทันโลภะเลย ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ได้ว่าโลภะอยู่ไหน และปัญญาจึงละโลภะ เพราะรู้ว่านั่นเป็นโลภะอยู่ตรงนั้น
~ ต้องไม่ลืมว่าฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ เพราะว่าความไม่รู้มีมาก ไม่ใช่ด้วยโลภะ ที่อยากจะรู้มากๆ แต่ฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ จะละความไม่รู้ก็ในขณะที่กำลังเข้าใจ เพราะฉะนั้น เข้าใจแค่ไหน ตื้นแค่ไหน ลึกแค่ไหน ผู้ที่กำลังไตร่ตรองก็รู้ได้ด้วยตัวเอง แต่รู้ว่าการฟังทั้งหมดไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม เพื่อละความไม่รู้ซึ่งมีมาก
~ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ ความเข้าใจนั้น ก็ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา จนกว่าในขณะนั้นสภาพธรรมปรากฏได้กับปัญญาที่เข้าใจแล้วว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่ถ้ายังไม่มีความเข้าใจว่าไม่ใช่เราแล้วจะให้สภาพธรรมนั้นปรากฏกับอะไร ในเมื่อไม่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวเรา แต่ปัญญาเท่านั้นที่กำลังทำหน้าที่ของปัญญาคือรู้และเข้าใจสิ่งที่มีซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนตามลำดับ
~ แต่ละคนมีอัธยาศัยตามประเภทของการที่สะสม แต่ละประเภท อย่างคนที่สะสมการให้ทาน เขาจะคิดถึงทาน บางทีทั้งวันเลย มีแต่เรื่องให้ ตื่นมาก็ให้เห็นอะไรก็ให้ทั้งหมด เพราะสะสมมาที่จะเป็นอัธยาศัย แต่บางคนสะสมอัธยาศัยของการฟังธรรม เรื่องอื่นเขาจะสนใจน้อยกว่าใช่ไหม แต่พอถึงธรรมจะมีความสนใจที่จะสะสมความเข้าใจธรรม
~ เกิดมาแล้วนานเท่าไหร่ ไม่จำเป็นต้องคิด เพราะคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่านานแสนนาน และถ้ายังคงไม่รู้ต่อไป ก็จะอยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำไม่เข้าใจทีละเล็กน้อยก็เป็นตอในวัฏฏะ ออกไปไม่ได้เลย
~ ชาติก่อนเป็นใครก็หมดแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่ใช่แค่จำไม่ได้ ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น มีเพื่อหมด ชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะเป็นคนดีขึ้นไหม? จะไปทำชั่วทำไม ในเมื่อความชั่วเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลชั่วที่จะต้องได้รับทางตา หู จมูก ลิ้นกายและการเกิดในอบายภูมิ เพราะฉะนั้น ปัญญาหรือความเข้าใจ นำมาซึ่งกุศลทั้งปวง
~ เริ่มเข้าใจถูกว่าเราไม่รู้ความจริง จึงหลงผิดยึดถือสิ่งที่เกิดและดับว่ายังคงมีอยู่ ลองคิดดู ค่อยๆ พิจารณา สิ่งนั้นไม่มีแล้ว แต่ยังมีความติดข้องพอใจอยู่ในสิ่งนั้น ไม่ฉลาดเลยถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น เริ่มรู้สึกว่าจริงๆ แล้ว ถ้าสามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้องดีกว่าปล่อยให้ไม่เข้าใจต่อไป ใช่ไหม?
~ มีอะไรเป็นของใครจริงๆ บ้างไหม? ไม่มี เพราะดับแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลยตลอดเวลา รู้ได้ไหม? รู้ได้แน่นอน เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม มีสาวกผู้ฟังมากมายที่รู้ความจริง เพราะว่าได้เคยฟังมาแล้ว ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถเข้าใจ จนถึงประจักษ์แจ้งความจริงได้
~ ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ เห็นมีจริงๆ ทุกอย่างที่กำลังปรากฏมีจริงแต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างหลากหลายมากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา ทุกวันทุกคำ เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ซ้ำแล้วซ้ำอีก เห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา ได้กลิ่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ให้ไปท่อง แต่เริ่มพิจารณาความจริงว่าเป็นอย่างนั้น ทีละเล็กทีละน้อย
~ ที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือเข้าใจความจริงยิ่งขึ้น สภาพของจิตที่จะดีงามจึงสามารถจะเป็นไปได้ตามลำดับของความเข้าใจ ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่มีใครสักคนหนึ่ง เดี๋ยวก็กุศลธรรม เดี๋ยวก็อกุศลธรรม เป็นธรรมดา ก็เป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล ขณะที่เห็นโทษของอกุศล กุศลก็เพิ่มขึ้น
~ ส่วนใหญ่ ทุกคนมีความอยาก ไม่เคยพ้นไปเลยสักอย่างเดียว ฟังธรรมเผินๆ อยากรู้นิพพาน อยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อยากหมดกิเลสนี่คืออยาก แต่ว่าอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดสังสารวัฎฏ์ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น อยาก ดีไหม?
~ เคยโกรธมากๆ บางคนพยาบาท เขาบอกว่าไม่ลืมจนวันตาย ฟังแล้วน่ากลัวมาก โกรธอะไรปานนั้น ไม่ลืมจนวันตาย
~ พูดไม่ดีเมื่อไหร่ เป็นภัยสำหรับคนอื่นไหม? เขาไม่อยากฟังแน่ๆ คำพูดอย่างนั้น แต่ทำให้ภัยเกิดขึ้นคือได้รับฟังคำที่ไม่ดี
~ ถ้ายังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ต้องเป็นอกุศลต่อไป
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๗
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...