ลักษณะของจิตเดี๋ยวนี้เอง คือรู้แจ้งอารมณ์

 
เมตตา
วันที่  20 มี.ค. 2568
หมายเลข  49622
อ่าน  117

อ.อรรณพ: ก็ได้เตือนใจกันครับว่า ไม่ใช่มี คำ มาจำกัดความเข้าใจสภาพธรรมครับ ซึ่งท่านอาจารย์ก็กล่าวเมื่อสักครู่ว่า จิตก็ไป เจตสิกก็ไป ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นต้องไปใช่ไหมครับ ต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ครับ จิตเกิดขึ้น ก็ต้องเป็นไป สภาพธรรมอย่างเช่น วิตก เกิดขึ้นก็ต้องไป เป็นไป ทีนี้กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า การไปของจิต กับการไปของสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ ที่ไม่ใช่จิต อย่างเช่น วิตก ต่างกันอย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเอาคำเก่าๆ มานั่งพูดใช่ไหม? ไม่ต้องไปจำกัดไว้ ต้องใช้คำว่า นำไปกับจิต แม้แต่คำว่า ไป ก็ไม่ต้องใช้ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะรู้อยู่แล้วว่า ไปแน่ ไม่ใช่อยู่เฉย

เพราะฉะนั้น จิตไปไหน ไปสู่อารมณ์ ที่ใช้คำว่า ไปสู่อารมณ์ คือรู้อารมณ์ แค่นี้ไม่ต้องไปตามคำว่า ไปสู่ ใช่ไหม? จิตรู้อารมณ์ เพราะจิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้แน่นอนใช่ไหม? และอะไรเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์ ในเมื่อเจตสิกก็มี จิตก็มี

เพราะฉะนั้น จิตก็เป็นสภาพที่รู้แจ้งลักษณะของอารมณ์ เขียวอ่อน น้ำตาลเข้ม อะไรๆ ต่างๆ เพราะจิตรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏทางตา หลากหลายมาก จึงมีคำแต่ละคำแสดงความหลากหลายของสิ่งที่ปรากฏ อันนี้พอจะไม่สงสัยใช่ไหม? จิตรู้แจ้งอารมณ์ ตัดคำว่า ไป ออกไปสู่อารมณ์

จิตรู้แจ้งอารมณ์ ยังสงสัยไหม คำนี้? ลักษณะของจิตเดี๋ยวนี้เองทุกขณะ ไม่ทำอะไรเลยนอกจากรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร เพราะจิตรู้แจ้งในลักษณะนั้น ลักษณะนั้นๆ จึงต่างกัน เพราะจิตรู้แจ้ง

ยังสงสัยในจิตไหม?

อ.อรรณพ: เข้าใจขึ้น แล้วก็ไม่ถูกคำมาจำกัดความเข้าใจไว้ ไม่ต้องนำไปก็ได้ ไม่ต้องใช้คำหนึ่งคำใด จะใช้คำไหนก็ได้ที่ชัดเจน ก็ที่ท่านอาจารย์กล่าว คือจิตรู้แจ้งอารมณ์ เมื่อเกิดขึ้นเขาต้องรู้อารมณ์

ท่านอาจารย์: โดยการรู้แจ้ง เพราะฉะนั้น เมื่อมีเจตสิกสภาพรู้เกิดร่วมกัน สภาพรู้อื่นจะมาเป็น จิต รู้แจ้งได้ไหม?

อ.อรรณพ: จะมารู้แจ้งแบบจิตไม่ได้ครับ แต่เขาก็ต้องรู้สิ่งเดียวกับจิตครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สภาพธรรมอื่นจึงไม่สามารถรู้แจ้งอารมณ์ เพียงรู้อารมณ์ได้ ถูกต้องไหม?

อ.อรรณพ: เพียงรู้อารมณ์ แต่ไม่สามารถจะมาทำหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์อย่างจิตครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความละเอียดความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งขณะ

อ.อรรณพ: ที่พระองค์ทรงรู้ทรงประจักษ์ชัดลักษณะของจิตที่รู้แจ้ง และลักษณะของธาตุรู้ที่ไม่ใช่จิต เป็นต่างๆ ๆ กัน มหัศจรรย์มากเลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังแล้วค่อยๆ ไตร่ตรองตามความละเอียดลึกซึ้ง เช่น ทุกขณะที่เห็นเกิด ไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะเป็นผลของกรรมที่ทำให้เพียง เจตสิก ๗ ประเภทก็ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ได้พร้อมกัน เห็นไหม ความลึกซึ้ง แล้วจะละความเป็นเราได้ไหม ถ้าไม่ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะเกิดแล้วเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งว่า ไม่รู้อะไรบ้าง ไม่รู้ว่า วิตกไม่ได้เกิดกับจิตเห็น เพราะขณะนี้จิตอื่นไม่ได้ปรากฏเลย มีแต่เห็น แต่ทำไมมี วิตก เกิดต่อจากเห็น เพราะเหตุว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็น ต้องกระทบจักขุปสาทะ เห็นไหม? ไม่ใช่กระทบอื่นเลย คิดถึงว่า ณะนั้นไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีจักขุปสาทะที่มีสิ่งที่กระทบตากำลังกระทบกัน เป็นปัจจัยให้ จิตเห็น หนึ่งขณะเดียวเกิดขึ้นเห็น สิ่งที่กระทบตา เล็กเท่าไหร่ เร็วเท่าไหร่ น้อยเท่าไหร่ สั้นเท่าไหร่ ก็เป็นเพียง ๑ ขณะเท่านั้นที่เห็นแจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่ต้องมีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะขณะนั้น จักขุวิญญาณเกิดขึ้น ต้องทำกิจเห็น จิตอื่นทำกิจเห็นอย่างจักขุวิญญาณไม่ได้

เพราะฉะนั้น เพราะต้องทำกิจเห็น เพราะเกิดที่จักขุปสาทะ คิดดู กว่าจะรู้แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ประจักษ์แจ้งอย่างนี้นะ แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ทุกสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏโดยเป็นนิมิต เห็นไหม? ต้องละเอียดมากว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ให้รู้ความจริงที่ปรากฏว่า ปรากฏอย่างไร เพราะอะไร กว่าจะไม่ใช่เราได้จริงๆ ต้องฟังระดับไหน ต้องเข้าใจมั่นคงระดับไหน ต้องเป็นความที่ปัญญาสะสมอบรมณ์จนสามารถรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏได้ ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น โดยความเป็นอนัตตา เทียบดูว่า นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ใช่ไหมที่สอดคล้องกัน

อ.อรรณพ: แน่นอนที่สุดครับ ไม่มีใครจะแสดงอย่างนี้ได้เลย

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็นความลึกซึ้งว่า ไม่มีเราทีละน้อยใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ครับ เป็นปริยัติในการที่จะเข้าใจในความเป็นธาตุรู้ ที่รู้แจ้ง ที่ไม่ใช่เรา รวมทั้งธาตุรู้ที่ไม่ใช่จิตด้วย

ท่านอาจารย์: แต่สะสมความไม่รู้มาแสนนานในทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องหวังว่า กว่าจะหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลยแม้เศษเล็กน้อยที่ละเอียดลึกซึ้งที่สุดก็ไม่เหลือ เป็นการสามารถดับอกุศลตามภาวะของปัญญาแต่ละขั้นได้

เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจ เพราะถ้าไม่เข้าใจ ไม่สามารถที่จะละความไม่รู้ได้ จะไปนั่งทำอะไร ได้ยินแต่คำในพระปิฎก วิปัสสนา สติปํฏฐาน เอามาคิดเอง ทำเองหมด แต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งรู้คุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะ กว่าจะได้ฟังคำนี้ให้เข้าใจ ฟังให้เข้าใจ จึงจะละความไม่รู้ขั้นไม่เข้าใจขั้นฟังได้

อ.อรรณพ: ฟังให้เข้าใจ จึงจะละความไม่รู้ในขั้นฟังได้

ท่านอาจารย์: แค่ขั้นฟัง เห็นไหม? เพราะฉะนั้น จะลึกซึ้งสักแค่ไหนว่า วิตกเกิดพร้อมจิตทุกขณะที่ ไม่ใช่จิตเห็น จิตได้ยิน เป็นต้้น ๑๐ ประเภท

จักขุวิญญาณเป็นผลของกรรม ๒ กุศลวิบาก กับอกุศลวิบาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย รวม ๑๐ ไม่ต้องมีวิตกเจตสิกเกิดขึ้นเลย

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

สภาพรู้อารมณ์ที่ต่างกันระหว่างจิตและเจตสิก

จิตรู้แจ้งรูปธรรมที่ปรากฏต่างๆ กัน

สามัญญลักษณะ และ สภาวลักษณะของจิต

ขอเชิญฟังจากวีดิโอ..

จิตรู้แจ้ง

ขอเชิญฟังเพิ่มได้ที่..

จิตรู้แจ้งอารมณ์คือรู้ลักษณะที่ปรากฏของอารมณ์

เจตสิก คือสภาพนามธรรมที่เกิดกับจิต

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ