Thai-Hindi 22 March 2025
Thai-Hindi 22 March 2025
- เพราะฉะนั้นประโยชน์อยู่ที่ไหน (คุณโซฮาน - เพื่อเข้าใจ เช่น เสียงหรือเห็นให้เพิ่มขึ้น) เพราะฉะนั้นรู้ไหมว่า เห็นเป็นปัจจัยอะไรหรือเปล่า (เห็นเกิดจากปัจจัยแต่เห็นไม่ได้เป็นปัจจัย) เห็นไหม แล้วจะไปบอกใครว่า อันนั้นอันนี้เกิดเพราะปัจจัย แม้ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รู้ว่า เห็นซึ่งมีจริงๆ เป็นปัจจัยหรือเปล่า
- ศึกษาธรรมไม่ใช่ศึกษาเพื่อตอบคำถามของคนที่ไม่รู้เรื่องธรรม แต่ต้องรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ในสังสารวัฏฏ์แสนนานมาแล้วก็มีเห็น มีได้ยิน มีทุกอย่างแต่ไม่เคยรู้ความจริงเลย เพราะฉะนั้นการได้เริ่มรู้ได้เริ่มเข้าใจความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่กำลังมีเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดมีค่าที่สุด ไม่ใช่รู้นิดรู้หน่อยแต่ไม่ได้รู้จริงๆ แล้วบอกคนอื่นผิดๆ ถูกๆ เพราะฉะนั้นฟังแล้วประโยชน์อยู่ที่เห็นคุณค่าของการเริ่มรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี
- การที่จะฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจขึ้นต้องฟังทุกคำละเอียดลึกซึ้งและเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เริ่มจากเดี๋ยวนี้มีเห็นไหม เห็นเกิดหรือเปล่า มีใครทำให้เห็นเกิดได้ไหม เริ่มเข้าใจมั่นคงตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า แม้เห็นเดี๋ยวนี้ก็เกิดเพราะปัจจัย
- เพราะฉะนั้นตัว “เห็น” เองเป็นปัจจัยหรือเปล่า (เป็น) เป็นปัจจัยแก่อะไร (เห็นเป็นปัจจัยให้สิ่งที่ปรากฏ) ได้หรือ? นี่แหละศึกษาธรรมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นศึกษาต้องละเอียดไม่ใช่ศึกษาเพื่อไปพูดไปบอกใครแต่ไม่ได้เข้าใจเลย ต้องตรงต่อธรรมที่ลึกซึ้งจึงจะเป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาคุณที่ได้เริ่มเข้าใจความลึกซึ้งในความเป็นธรรมของแต่ละอย่าง ต้องไม่ลืมว่า ธรรมลึกซึ้งจึงต้องเข้าใจความลึกซึ้งจึงจะรู้จักธรรม เดี๋ยวนี้มีเห็นใช่ไหม (มี) เห็นเป็นปัจจัยหรือเปล่า
- (คุณอาคิ่ล - ขอให้พูดเรื่องวิถีจิตต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว) เริ่มต้นใหม่ วิถีจิตคืออะไร (อารมณ์ของวิถีจติเป็นอารมณ์ของโลกนี้และต้องอาศัยทวารเพื่อรู้อารมณ์) เดี๋ยวนี้มีวิถีจิตไหม (มี) อะไร (เห็น) เดี๋ยวนี้จิตอะไรเป็นวิถีจิต (เห็น) เห็นเท่านั้นหรือ มีจิตอื่นไหม
- เราจะพูดเรื่องจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตเพื่อเข้าใจจิตที่ไม่ใช่วิถี และทันทีที่เป็นวิถีจิตเป็นอะไรขณะนั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจะพูดถึงจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตดีไหม จิตอะไรที่ไม่ใช่วิถีจิต (ภวังคจิต) หมายความว่าอะไร ภวังคจิตคืออะไร (คือจิตที่ดำรงภพชาติและรู้อารมณ์ของชาติก่อน) สามารถรู้สิ่งที่กำลังปรากฏได้ไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นจิตทำได้กี่กิจในขณะที่เป็นภวังค์ (ทำได้ ๓ กิจ ภวังคจลนะ อตีตภวังค์ ภวังคุปัจเฉทะและภวังคกิจ ทั้งหมด ๔ กิจ) นั่นเป็นกิจของภวังค์หรือเป็นจำนวนของภวังคจิตที่ทำกิจภวังค์ก่อนที่จะเป็นวิถีจิตที่รู้อารมณ์ทางปัญจทวาร (เป็นจำนวนแต่ทำกิจดำรงภพชาติเท่านั้น) ทำกิจอะไรในภาษาบาลี (ภวังคกิจ) จิตนี้ทำกิจเกิดได้ไหม ทำกิจเห็นได้ไหม ทำกิจตายได้ไหม จิตนี้เป็นประเภทเดียวกันกับจิตที่ทำกิจเกิดและตายไหม (ไม่ใช่ จิตต่างกัน) ประเภทต่างกันหรือว่ากิจหน้าที่ต่างกัน (ต่างทั้งประเภทของจิตและกิจหน้าที่ก็ต่างกันด้วย)
- ลองยกตัวอย่าง จิตอะไรทำกิจปฏิสนธิ (ปฏิสนธิจิตทำหน้าที่เกิด) แต่ถามว่าจิตอะไรทำกิจนี้ (วิถีมุตตจิต) นั่นเป็นชื่อ แต่ว่าเป็นจิตประเภทไหน มีจิตกี่ประเภทและประเภทไหนทำกิจนี้ (วิบากจิต) วิบากจิตมีมากมาย ลองยกตัวอย่างมาหนึ่ง (บอกไม่ได้) จิตอะไรทำกิจเกิดเป็นลิง (เป็นจิตประเภทเดียวกับที่เกิดเป็นมนุษย์แต่ต่างกันที่ถ้าเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศล ถ้าเป็นลิงเป็นผลอกุศล)
- เพราะฉะนั้นจิตอะไรทำกิจเกิดเป็นลิง (ปฏิสนธิจิต) จิตอะไรเป็นจิตที่เกิดเป็นลิง (วิบากจิต) วิบากจิตมีเท่าไหร่ (กุศลวิบาก อกุศวิบาก) อกุศลวิบากจิตมีเท่าไหร่ (มี ๗) อะไรบ้าง ดิฉันถามว่า อกุศลวิบากมีเท่าไหร่ (เริ่มสับสนเพราะสิ่งนี้ท่านอาจารย์เป็นคนสอน) ไม่ใช่ เพราะปกติสิ่งที่เราเรียนมีกุศลจิต อกุศลจิต และอกุศลวิบากจิต กุศลวิบากจิต ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาจิตแต่ละ ๑ ไม่ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศล หรือวิบากเพราะมีปัจจัยที่ต่างกัน
- เพราะฉะนั้นอกุศลจิตมีเท่าไหร่ และนี้เป็นหนทางที่จะศึกษาเพื่อเข้าใจความจริง ไม่ใช่ศึกษาแค่คำแค่ชื่อแต่ความจริงกำลังมีเดี๋ยว เพื่อเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริง ตอนนี้เราจะเริ่มใหม่เพราะธรรมถ้าไม่เข้าใจจริงก็จะสับสนและลืมอยู่เรื่อยๆ แต่ต้องการให้ชัดเจน เพราะฉะนั้นเราเริ่มต้นใหม่ ถามเขาว่า อกุศลจิตทั้งหมดมีเท่าไหร่
- (คุณอาช่า - ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยสนทนาเรื่องอกุศลจิต) เพราะฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องภวังค์และอะไรต่อไป ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเราศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นทุกครั้งเราจะตั้งต้นอีก เริ่มใหม่อีกๆ จนกว่าจะเป็นความเข้าใจมั่นคง เพราะฉะนั้นต้องมั่นคง เราศึกษาธรรม หมายความว่าอะไร (เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงและเพื่ออบรมความเข้าใจให้เพิ่มขึ้น)
- เพราะก่อนฟังธรรมเราคิดว่ามีคน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีทุกอย่าง ถ้าเราพูดว่า “โลกนี้มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ มีภูเขา มีมหาวิทยาลัย มีรถยนต์” เป็นธรรมหรือเปล่า (ไม่เป็น) ไม่ใช่ธรรม เราจึงต้องศึกษาธรรม เริ่มจากทุกสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ทุกวันเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครรู้ความจริงนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง
- จะรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีจนตรัสรู้ ง่ายหรือยาก (ยากมาก) เพราะฉะนั้นจงตั้งใจฟังว่า ความลึกซึ้งของทุกสิ่งยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นคำว่า “ธรรม” ในภาษามคธีในภาษาบาลีหมายถึงทุกอย่างที่มีจริงมีลักษณะที่เป็นจริงที่เปลี่ยนไม่ได้
- เพราะฉะนั้นเริ่มฟังความจริง ขณะนี้เห็นไหม เห็นมีจริงไหม (มีจริง) ใครทำให้เห็นเกิดขึ้น (เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่มีใครทำให้เกิด) พูดแล้วว่า เห็นเกิดเพราะปัจจัย อะไรเป็นปัจจัยให้เห็นเกิด (กรรมในอดีตทำให้เกิด) กรรมคืออะไร (กรรมเป็นจิตและเจติก) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร (นึกได้แล้ว กรรมเป็นเจตนา) เห็นไหม ฟังตั้งนาน นึกได้เมื่อไหร่และยังเข้าใจว่า เจตนาคืออะไร ก็เป็นการเรียนแบบทุกคน เผินมาก
- ส่วนใหญ่การศึกษาที่ไร้ประโยชน์คือ ฟังคำของพระพุทธเจ้าแล้วคิดเองพูดเองหมด ฟังแต่ชื่อ จำแต่ความหมายแต่ไม่รู้จริงๆ ว่า สิ่งที่พูดถึง เข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ฟังแล้วรู้สึกเข้าใจถูกต้องว่าลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นเริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีก ดีไหม เพื่ออะไร เพื่อจะได้รู้ความจริงว่า เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแค่ไหน
- เพราะฉะนั้นเริ่มอีก เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีเห็น) ดีมาก เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นคนไม่เคยฟังธรรมเลยจะตอบได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังธรรมจึงตอบได้ว่า มีเห็น เพราะอะไรจึงมีเห็นเดี๋ยวนี้ (เพราะเห็นอะไรอยู่) เพราะเดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นมีจริงทุกคนเห็นแต่ทุกคนไม่รู้ว่า เห็นคืออะไร ดีนะคะเราไปช้าๆ แต่มั่นคง เริ่มเข้าใจเห็นขึ้นทีละเล้กทีละน้อย
- เพราะฉะนั้นคิดอีกหน่อย เห็นเป็นอย่างไร เห็นคืออะไร (เป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงเพราะเกิดและรู้ รู้แล้วก็ดับทันที) ไม่ยากถ้าจะตอบอย่างนี้ใช่ไหม แต่ความเข้าใจเห็นมีหรือยัง (ยากและเข้าใจน้อยมาก) นี่แหละ เริ่มรู้ความลึกซึ้งของทุกอย่าง แม้แต่เห็นมีจริงๆ เป็นธรรมดาทุกวันใกล้มากยังไม่รู้เพราะอะไร (เพราะความไม่รู้มีมากและไม่เคยพิจารณา) ถูกต้อง นี้เป็นเหตุที่เราตรงต่อความจริง สัจจะ
- เพราะฉะนั้นเริ่มฟังด้วยความเคารพทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เริ่มเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่ประมาทว่า จำชื่อได้แล้วเข้าใจความหมายแล้ว แต่ขณะที่มีจริงๆ ทุกขณะยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นคำที่ได้ฟังแล้ว ฟังอีกให้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นอีก
- เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น ลึกซึ้งไหม เพราะไม่รู้ว่าเห็นเป็นอะไรและสิ่งที่ถูกเห็นเป็นอะไรที่ต่างกัน เห็นมีรูปร่าง มีสี มีกลิ่นไหม เห็นไหมไม่มีอะไรเลยนอกจากเกิดรู้ เพราะฉะนั้นเห็นเกิดทั้งวันรู้ทั้งวันแต่ไม่รู้ว่าอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเห็นเกิดทั้งวันแต่ไม่รู้ว่าเห็นอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเห็นแต่ละ ๑ ต้องต่างกันเพราะสิ่งที่ปรากฏต่างกัน
- ๑ เห็นเกิดแล้วดับ อีก ๑ เห็นเกิดแล้วดับและอีก ๑ เห็นเกิดแล้วดับ จริงไหม ลึกซึ้งไหม ชีวิตลึกซึ้งมาก โลกลึกซึ้งมาก ทุกอย่างลึกซึ้งมากและจะรู้ความลึกซึ้งเมื่อฟังผู้ที่ได้ตรัสรู้ทรงแสดงทุกคำ เพียงเห็นเดี๋ยวนี้ รู้ประโยชน์ของการที่ได้เข้าใจเห็นจากแสนโกฏกัปป์ที่ไม่เข้าใจ ลึกซึ้งไหม เข้าใจอย่างนี้เป็นประโยชน์กว่ารู้ชื่อรู้คำแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ตรงนี้จะไม่เห็นประโยชน์ต่อไปของทุกคำที่จะได้ฟัง
- สิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่เห็น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นไม่เห็น ใช่ไหม สิ่งที่ถูกเห็นลึกซึ้งไหม ลึกซึ้งอย่างไร เริ่มเป็นความคิดไตร่ตรองที่จะรู้ความจริงด้วยตัวเอง (คุณอาช่า - เพราะว่าเห็นอยู่ทั้งวัน เห็นอยู่ตลอดและฟังมาแล้วว่าเห็น และสิ่งที่ถูกเห็นแต่ก็ยังไม่เข้าใจ ลึกซึ้งมาก) นี้เป็นประโยชน์ที่สุดที่เริ่มตรงต่อความจริงเป็นสัจจะว่า ธรรมลึกซึ้ง
- เพราะฉะนั้นเริ่มคิดว่า ความไม่รู้แค่ไหนและความรู้แค่ไหน เห็นอะไร ถามว่า เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นคืออะไรเป็นอะไร (คุณอาช่า - เป็นธาตุหนึ่งที่มีจริง เกิดแล้วดับแต่ไม่สามารถรู้อะไรได้) เห็นคนหรือเปล่า (ไม่) เห็นเสื้อผ้าหรือเปล่า (ไม่) ลึกซึ้งไหม ถ้าตายเดี๋ยวนี้ก็ยังดีที่ได้เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริง ใช่ไหม
- การเห็นประโยชน์ของความเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งมีประโยชน์กว่าทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติเงินนทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ (เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด) เพราะฉะนั้นการเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีค่าที่สุดเริ่มปลูกฝังในจิต ถ้าไม่มีเลยจะมืดสนิททุกชาติ ทุกชาติไม่มีอะไรนอกจากเกิดแล้วเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ๕-๖ ทางแล้วดับทุกชาติ ไม่มีอะไรเหลือเลยและมืดสนิทที่จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปกว่าจะรู้ความจริงจนละความติดข้องในสิ่งที่ไม่มีเหลือเลย
- ต้องเริ่มจากปัญญาบารมี รู้ความจริงที่ลึกซึ้งเป็นสัจจบารมี รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทุกคำที่เข้าใจความจริงต้องอดทนที่จะตรงต่อความจริงต่อความไม่รู้ความจริงของเห็นที่เกิดดับ
- หนทางเดียวที่จะรู้จักเห็นตามที่ได้ฟังคือ มีความเพียรที่จะฟังธรรมแล้วไตร่ตรองละเอียดขึ้นๆ เป็นวิริยะบารมีเพื่อละความไม่รู้และความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏจนไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับสามารถรู้แจ้งได้ ต้องเพราะความเข้าใจขึ้นๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่หนทางอื่นเลยทั้งสิ้น เริ่มมีความเข้าใจ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อศึกษาด้วยความละเอียดไตร่ตรองจนเข้าใจก็เห็นคุณของพระองค์ยิ่งขึ้น
- เดี๋ยวนี้คุณอาช่าเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน (เคารพตามระดับความเข้าใจของตนเอง) ถูกต้องๆ ถ้าเข้าใจกว่านี้จะเคารพยิ่งขึ้นไหม ถ้าศึกษาธรรมละเอียดจนเข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริงก็จะรู้ว่า เคารพพระองค์สูงสุดที่ทำให้ในสังสารวัฏฏ์สิ่งที่ไม่เคยรู้ปรากฏให้รู้ได้
- นี้เป็นเหตุที่เราพูดความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่รู้ได้เพราะกำลังมี ไม่ใช่จำชื่อว่า “กรรมได้แก่เจตนาเจตสิก” จำแต่ชื่อไม่ทำให้รู้จักสภาพธรรมแต่ธรรมลึกซึ้งจึงต้องพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเพิ่มขึ้นให้เข้าใจเพิ่มขึ้นถึงแต่ละคำเพิ่มขึ้นเพื่อให้ไตร่ตรองให้เข้าใจว่าเป็นธรรมอะไร
- เพราะฉะนั้นเราจะพูดทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อไตร่ตรองให้เข้าใจความลึกซึ้งเพิ่มขึ้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสเพื่อให้ค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งนั้น ทุกคำที่พระองค์ตรัสเป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตซึ่งไม่มีใครเคยรู้มาก่อน
- เพราะฉะนั้นเราเริ่มพูดถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตตามปกติเพื่อให้รู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงสิ่งนั้นที่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว ถ้าเราพูดถึงสิ่งที่มีทีละคำจะเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงได้ยินชื่อแล้วจำแต่ต้องไตร่ตรองในความที่ขณะนั้นมีจริงๆ
- เพราะฉะนั้นจะพูดถึงอะไรก็ได้ที่มีจริงในชีวิตประจำวันและฟังว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงนั้นอย่างไรให้เข้าใจ ถ้าเพียงฟังคำแล้วพูดตามไม่รู้ความลึกซึ้ง เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเคารพเมื่อเข้าใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจะสนทนากันด้วยคำอะไรก็ได้ที่มีในชีวิตประจำวันเพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ แต่ต้องศึกษาไตร่ตรองพิจารณาจนเข้าใจชัดเจนเพราะเป็นสิ่งที่มีจริงที่ลึกซึ้ง
- เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะพูดถึงอะไรเพื่อที่จะได้ไตร่ตรองให้ละเอียดให้ลึกซึ้งจนรู้จริงๆ นี้คือ การศึกษาธรรมที่เป็นสัจจธรรม ที่เป็นอริยสัจจธรรมรอบที่ ๑ ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นนี้ความเข้าใจที่จะรู้จริงในสิ่งนั้นจะเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมที่ละ ๑ ธรรม วันนี้อะไร รู้ไหมว่า วันนี้ที่เรากล่าวมาแล้วเป็นการศึกษาธรรมอะไร (ธรรมที่ปรากฏ) เพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใครแต่เริ่มเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมยิ่งขึ้น
- ถ้าไม่พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจจะไม่รู้ว่า ขณะที่ไม่พูด ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ศึกษาธรรม เพราะฉะนั้นจะพูดถึงอะไรก็ได้ คำไหนก็ได้ เป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิต เพราะฉะนั้นวันนี้ใครจะพูดถึงธรรมอะไร ๑ ธรรม (ได้ยิน) ดีมาก ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า (ได้ยินเป็นธรรม) ขอโทษ ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า (ไม่) เป็นอะไร (เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิด) แล้วเป็นอะไร เกิดแล้วเป็นอะไร (เป็นจิตที่รู้) รู้อะไร (เสียง) ดับไหม ได้ยินดับไหม (ดับ) สิ่งที่ได้ยินคือเสียง ดับไหม (ดับ)
- เพราะฉะนั้นเริ่มไตร่ตรอง ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน ไม่มีเสียงปรากฏ แล้วก็เกิดได้ยินมีเสียงปรากฏแล้วก็ดับ ต่างกับก่อนได้ยินไหม (ไม่ต่างกัน) อะไรไม่ต่าง (คือก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน หลังได้ยินดับไปแล้วก็ไม่ต่างกัน) เพราะฉะนั้นได้ยินมีประโยชน์อะไร ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน พอได้ยินแล้วก็ไม่มี เพราะฉะนั้นได้ยินไปทำไม มีประโยชน์อะไร (ไม่มีประโยชน์)
- เพราะฉะนั้นคราวหน้าเราจะต่อเรื่องนี้ดีไหม มีประโยชน์ไหม (สนทนาเรื่องนี้มีประโยชน์) เพราะอะไร (เพื่อที่จะเข้าใจความจริง) รู้ว่าความจริงก็เป็นอย่างนี้ตลอดทุกชาติ มีแต่ประโยชน์และประโยชน์จะมีมากกว่านี้ด้วย ยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกคนนะคะ สวัสดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ถ้าศึกษาธรรมละเอียดจนเข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริงก็จะรู้ว่า เคารพพระองค์สูงสุดที่ทำให้ในสังสารวัฏฏ์สิ่งที่ไม่เคยรู้ปรากฏให้รู้ได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ