รู้แล้วเข้าใจแล้วต้องเรียกชื่อไหม?

อ.คำปั่น: เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เวลาฟังแต่ละครั้งก็เห็นถึงความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรมที่ท่านอาจารย์ได้เกื้อกูล ให้ได้ค่อยๆ ได้สะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยครับ ซึ่งคำที่ท่านอาจารย์ได้กล่าว ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลโดยตลอด
การศึกษาครับท่านอาจารย์ ก็เห็นเลยว่า การสะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ ก็ยกตัวอย่างที่ได้ฟังจากท่านอาจารย์ก็เป็นการได้ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ ซึ่งก็สำหรับตัวกระผมเอง ก็จะซาบซึ้งกับ คำ ที่ท่านอาจารย์ได้อัญเชิญจากพระไตรปิฎกบ้าง แล้วท่านอาจารย์ก็อธิบายเกื้อกูลให้ได้ไตร่ตรองในเหตุในผล อย่างเช่น ที่เขมรที่ผ่านมา กระผมก็ประทับใจที่ท่านอาจารย์ได้ตอบคำถามที่มีผู้ถามใน เรื่องของอนัตตาครับ ที่บอกว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ครับ ดูเหมือนว่า ก็ผ่านๆ ไปครับ แต่พอท่านอาจารย์ได้ยกตัวอย่าง สภาพเห็น อย่างนี้ครับ เห็นเป็นเห็น มีเราไหมขณะที่เห็น? ก็เป็นแต่เพียงเห็น แล้วเห็นเป็นธรรมใช่ไหม? ก็เป็นธรรม ในเมื่อเป็นธรรมก็ไม่ใช่เรา
ก็ได้อาศัย คำ ที่ท่านอาจารย์ได้เกื้อกูลครับ ได้ไตร่ตรองในความเป็นจริงของธรรม ก็เห็นเลยครับว่า ทุกครั้งที่ได้ฟัง แม้ว่าจะเข้าใจเพียงน้อยนิด แต่ก็เป็นประโยชน์มีคุณค่ามหาศาลที่จะได้ไตร่ตรอง ที่จะเกื้อกูลให้ไม่ลืมในความเป็นจริงของธรรมครับ ก็ซาบซึ้งในความเกื้อกูลของท่านอาจารย์ครับ
ทีนี้มีประเด็นที่จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ก็คือว่า คือเวลาได้ศึกษาก็จะเป็นผู้ที่ยังมีความติดในคำในชื่อครับ และก็จะพยายามหาชื่อหาเรื่อง แทนที่จะเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมครับ อย่างเช่น ได้ฟังเรื่องของเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพที่เกิดประกอบกับจิต ก็เหมือนกับว่า จะเลยตัวจริงของธรรมไป แต่ว่าก็จะไปนึกถึงข้อความที่ได้เรียนมาครับว่า เจตสิกก็เป็นธรรมที่เกิดร่วมกับจิต เกิดพร้อมจิต ก็คือเอกุปปาทะ ครับ ก็คือเกิดพร้อมกับจิต แล้วก็เมื่อ เกิดพร้อมกับจิต ก็ดับพร้อมกับจิตด้วย ก็คือเอกนิโรธะ และเมื่อ เจตสิกเกิดขึ้นก็รู้อารมณ์เดียวกันกับจิตด้วย ก็คือเอกลัมพณะ หรือว่าเอกรัมมณะ และก็ ในภูมิที่มีทั้งรูป และนาม ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิตด้วย เอกวัตถุกะ
ท่านอาจารย์ครับ ก็เหมือนกับว่า จะเลยตัวจริงของธรรมไปเลย แต่ว่าจะไปติดในชื่อ ในเรื่อง ในคำ ที่ได้ศึกษาครับ ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ได้เกื้อกูลตรงนี้ด้วยครับ
ท่านอาจารย์: รู้แล้วเข้าใจแล้วต้องเรียกชื่อไหม?
อ.คำปั่น: ไม่ต้องเรียกครับ
ท่านอาจารย์: แต่เพราะยังไม่รู้ ก็อดคิดถึงชื่อไม่ได้
อ.คำปั่น: ใช่ครับ อดคิดถึงชื่อไม่ได้
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า ขณะที่คิดถึงชื่อ นั่นเป็นอะไร? เห็นไหม อุตตส่าห์เรียนจิต เจตสิก แล้วพอคิดถึงชื่อขณะนั้น เป็นอะไร?
อ.คำปั่น: ขณะที่คิดถึง ก็ไม่พ้นจากธรรมเช่นกันครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ที่ได้ฟังว่า จิตคืออะไร เจตสิกคืออะไร เหมือนแค่จำ
อ.คำปั่น: ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะขณะนั้นยังต้องเรียกชื่อ ยังนึกถึงชื่อ แต่ถ้ารู้แล้ว จะต้องไปคิดถึงชื่อไหมว่าอะไรขณะนั้น ในเมื่อรู้แล้วว่า โกรธ ขณะนั้นกำลังมี มีจริงๆ
อ.คำปั่น: ครับ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าขณะนั้น ไม่รู้ภาวะที่โกรธ ไปจำแต่ว่า เจตสิก จำคำว่า เจตสิก ไม่ใช่เข้าใจภาวะที่โกรธ ไม่ใช่เห็น
เพราะฉะนั้น ฟังแล้วๆ ไม่ใช่เพื่อให้ไปนึกถึงชื่ออยู่เรื่อยๆ แต่ฟังแล้วชื่อนั้นกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่ต่างกัน
ธรรมดาเห็น แล้วโกรธเกิดขึ้น จะเป็นเห็นได้อย่างไร เห็นไหมว่า กว่าความรู้ความเข้าใจขั้นแรก ขั้นฟัง จะมั่นคงจะเป็นปกติ จะเข้าใจในความเป็นจริง จนกระทั่งสามารถที่จะระลึกตรงลักษณะนั้นโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราไปทำ เราไปมีสติ เราไปเจริญสติ ไม่ใช่เลย แต่ขณะนั้นความเข้าใจที่มั่นคงทำให้เกิดขณะที่รู้ตรงนั้น แล้วเริ่มรู้ขณะนั้นเพียงอย่างเดียว เพราะตรงขณะนั้นไม่ใช่ตรงขณะอื่น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ