ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๗๐๙] สํสคฺค

 
Sudhipong.U
วันที่  27 มี.ค. 2568
หมายเลข  49643
อ่าน  55

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สํสคฺค”

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

สํสคฺค อ่านตามภาษาบาลีว่า สัง - สัก - คะ เขียนเป็นไทยได้ว่า สังสัคคะ แปลว่า ความคลุกคลี เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความติดข้องยินดีพอใจ

ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ธาตุสูตร แสดงความเป็นจริงของสังคัคคะและประเภทของสังสัคคะ ดังนี้

บทว่า สํสคฺคา ความว่า เพราะสังกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) คือเพราะประกอบร่วมกัน ด้วยสามารถแห่งการอยู่ร่วมกัน เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง เพราะคลุกคลีกันในการคลุกคลี ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างนี้ คือ ทัสสนสังสัคคะ (คลุกคลีด้วยการเห็น) สวนสังสัคคะ (คลุกคลีด้วยการฟัง) สมุลลาปนสังสัคคะ (คลุกคลีด้วยการเจรจา) สัมโภคสังสัคคะ (คลุกคลีด้วยการใช้ร่วม) กายสังสัคคะ (คลุกคลีด้วยกาย)

ข้อความในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ มหาสุญญตสูตร แสดงถึงภิกษุผู้มีความคลุกคลีกัน ย่อมไม่งามเลย ดังนี้

ดูกร อานนท์ ภิกษุผู้ชอบคลุกคลีกัน ยินดีในการคลุกคลีกัน ประกอบเนืองๆ ซึ่งความชอบคลุกคลีกัน ชอบเป็นหมู่ ยินดีในหมู่ บันเทิงร่วมหมู่ ย่อมไม่งามเลย

ข้อความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร แสดงถึงคุณของการไม่คลุกคลีกัน ดังนี้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายจักไม่มีการคลุกคลีด้วยหมู่คณะเป็นที่มายินดี จักไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ จักไม่ประกอบเนืองๆ ในความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลาย พึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้เลย


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูก เตือนให้ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันทุกประการ เพราะชีวิตประจำวันเป็นธรรม ทุกขณะของชีวิตไม่พ้นไปจากธรรม มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ทุกขณะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนที่ดีสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตอยู่อย่างแท้จริง เพื่อจะได้รู้ว่าตนเองเต็มไปด้วยกิเลสมากมายเพียงใด เพื่อประโยชน์ในการขัดเกลา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกคนที่เกิดมา ก็เต็มไปด้วยกิเลสด้วยกันทั้งนั้น แม้ความคลุกคลี ก็ไม่พ้นจากกิเลส

ความคลุกคลี มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากกิเลสเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ความติดข้องยินดีพอใจ เป็นเรื่องของกิเลส เป็นอกุศลธรรม ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเรื่องการไม่คลุกคลีและการคลุกคลีไว้มากมาย ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา เพื่อให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้เข้าใจตามความเป็นจริง เพราะว่าการคลุกคลีกันนั้นจะทำให้เกิดอกุศล โลภะบ้าง โทสะบ้าง ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้ทรงบังคับใครเลย แต่ทรงแสดงถึงประโยชน์ของการไม่คลุกคลี ผู้อบรมเจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะค่อยๆ ละเว้นไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่คลุกคลีกับสิ่งที่จะทำให้เกิด กุศลซึ่งพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ

พระอริยบุคคลจึงละเว้นทุจริตกรรมตามลำดับขั้น พระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน เว้นทุจริตกรรม คือ ไม่ล่วงละเมิดศีล ๕ เลย แต่ว่าผู้ที่ยังไม่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลนั้น ก็ย่อมแล้วแต่การสะสมเหตุปัจจัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามเลย เพราะห้ามไม่ได้ ธรรมเป็นอนัตตา แต่พระองค์ทรงแสดงประโยชน์ของกุศลธรรมไว้ เมื่อผู้ใดเห็นประโยชน์ ก็ค่อยๆ น้อมประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม แต่โดยมากไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็เลยไปทำหรือไปบังคับด้วยความเป็นตัวตน ซึ่งไม่ทำให้รู้ความจริง ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาไม่ใช่สัตว์-บุคคล ตัวตน มีแต่จะเพิ่มพูนอกุศลให้มีมากขึ้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลี ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส นั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริง ทรงแสดงโทษของความคลุกคลี และคุณประโยชน์ของการไม่คลุกคลี เพื่อประโยชน์เกื้อกูลอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น จะเห็นถึงความบริสุทธิ์ของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสโดยตลอด

บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อดทนที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเท่านั้น จึงจะเห็นประโยชน์ของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว การที่จะขัดเกลาละคลายกิเลส มีโลภะ เป็นต้นนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ระลึกถึงกิเลสของตนเอง เห็นโทษเห็นภัยแล้วมีการขัดเกลา และกุศลธรรมทั้งหลายก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามระดับขั้นของปัญญา ดังนั้นการที่จะขัดเกลาละคลายกิเลสได้ จึงมีหนทางเดียวเท่านั้น คืออบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง และไม่ใช่จะดับได้ในทันทีทันใด ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ เห็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีโอกาสได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการได้อาศัยคำแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 27 มี.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เฉลิมพร
วันที่ 30 มี.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ