Thai-Hindi 12 April 2025
Thai-Hindi 12 April 2025
- (อยากให้ท่านอาจารย์สนทนาต่อจากคราวที่แล้วเรื่องรูปเกิดดับช้ากว่าจิต) รู้แล้วประโยชน์อย่างไร (เพื่อมีความเข้าใจว่า ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา) เพื่ออะไร (เพื่อช่วยเรื่องความเห็นผิด มีเรา มีเขา ให้น้อยลง เพิ่มความรู้ ละความไม่รู้ ให้เข้าใจทุกอย่างนัยอื่นๆ เพื่อเข้าใจชีวิตให้ดีขึ้น) เพื่อรู้ความจริงมั่นคงขึ้นว่า ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย เพียงมีสิ่งที่เกิดแล้วดับ ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น
- เดี๋ยวนี้มีภวังคจิตไหม (มี) กี่ขณะ (เยอะมาก) ถูกต้อง แล้วมีแต่ภวังคจิตหรือว่ามีขณะอื่นที่ไม่ใช่ภวังคจิตด้วย (มีจิตประเภทอื่นด้วย) เช่น (ได้ยิน เห็น) เห็นเกิดพร้อมกับภวังคจิตได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นก่อนเห็นมีอะไร (มีภวังค์) แล้วก่อนเห็นจริงๆ ๑ ขณะมีอะไร (อาวัชชนะ) เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมหรือเปล่า (ไม่) เพราะอะไร (อาวัชชนะทำกิจที่รู้อะไรมาอยู่ แต่ไม่รู้อย่างเห็น)
- อาวัชชนะมีเหตุเกิดร่วมด้วยไหม (มีเหตุ เพราะก่อนอาวัชชนะเกิด ภวังคุปัจเฉทะเป็นปัจจัยให้อาวัชชนะเกิด) ต้องฟังคำถามดีๆ ขณะที่อาวัชชนะเกิด มีเหตุเกิดร่วมกับอาวัชชนะเหรือเปล่า มีโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะเกิดกับปัญจทวาราวัชชนจิตหรือเปล่า (ไม่) ไม่มีเพราะอะไร (เพราะเป็นกิริยา เพราะเหตุเกิดกับวิบาก กุศล อกุศล) นั่นจำ แต่ความเข้าใจสำคัญกว่า
- เพราะถ้าเป็นเหตุต้องมีเหตุเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นมีกุศลเหตุ อโลภะ อโทสะ อโมหะเกิดร่วมด้วย หรือมีอกุศลเหตุเกิดร่วมด้วยจึงเป็นจิตที่มีเหตุ ฟังธรรมละเอียดกว่านี้ก็ได้แต่ต้องตามลำดับเพราะมิฉะนั้นจะยุ่งเหยิงไม่เข้าใจ นี้เป็นความละเอียดมากไม่สามารถที่จะรู้ได้ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความละเอียด
- เดี๋ยวนี้เป็นจิต เจตสิก รูปทั้งหมดแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเริ่มรู้ความลึกซึ้งว่า จิตที่เกิดต้องเป็น ๑ ใน ๔ ประเภท เป็นกุศล ๑ เป็นอกุศล ๑ และเป็นผลของกุศล ๑ ผลของอกุศล ๑ จิตที่เป็นผลของกุศล ภาษาบาลีใช้คำว่าอะไร (กุศลวิบาก) ดีมาก เพราะฉะนั้นพูดว่า กุศลกับกุศลวิบากต้องต่างกัน เดี๋ยวนี้กุศลอยู่ไหน กุศลวิบากอยู่ไหน (เช่น ถ้าเห็นอารมณ์ที่เป็นผล เป็นกุศลวิบาก ถ้าเข้าใจก็เป็นกุศล) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า เมื่อไม่มีเราทุกขณะเป็นธรรมที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลวิบาก หรือไม่ใช่กุศล ไม่ใช่วิบากเป็นกิริยา เดี๋ยวนี้เองเรียนให้เข้าใจธรรมที่มีเดี๋ยวนี้จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง
- เบื่อไหมที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เองเราไม่รู้อะไรแต่ความจริงไม่ใช่เราเป็นธรรมที่เป็นจิตเจตสิก (ไม่เบื่อ ฟังแล้วอยากจะฟังต่อ) ขณะนี้ไม่มีเราแต่ไม่รู้ รู้แต่ชื่อใช่ไหม การศึกษาธรรมไม่ใช่ศึกษาชื่อแต่ให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้จริงๆ มีสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่ใช่ต้องตามลำดับโดยชื่อแต่ตามลำดับของความเข้าใจ ยินดีมากที่คุณอาช่าเต็มใจที่จะฟังความละเอียด ประโยชน์ก็คือ ถามอะไรก็ได้ ถ้าเข้าใจแล้วตอบได้ ไม่ใช่ตามลำดับของเรื่องของคำที่ได้ฟังแต่ตามลำดับของความเข้าใจจริงๆ
- เพราะฉะนั้นตอนนี้จะถามว่า เดี๋ยวนี้รูปดับหรือเปล่า (ดับ) รูปอะไรดับ (เช่น สีและตาดับ) เมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้หรือ (ตอนนี้) รูปไหนดับเดี๋ยวนี้ (เช่นสีและเสียง) เกิดเมื่อไหร่ ดับเมื่อไหร่ (เกิดตอนที่กระทบตาและดับหลังจากนั้น) รูปที่ไม่กระทบตาดับหรือเปล่า (ดับ) เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องพูดว่า เมื่อไหร่ ดับขณะไหนแต่ทุกขณะของจิตมีรูปที่เกิดแล้ว ๑๗ ขณะดับถูกไหม
- มั่นคงนะคะ เพราะฉะนั้นเราก็จะพูดถึงรูปที่เกิดพร้อมภวังคจิตที่กระทบตา เพราะฉะนั้นรูปที่เกิดพร้อมภวังคจิตและกระทบภวังคจิตเพื่อจะรู้ว่า รูปนั้นเกิดขณะนั้น จึงใช้คำว่า “อตีตภวังค์” เพราะฉะนั้นจิตอะไรจะเกิดรู้รูปที่ยังไม่ดับก็แล้วแต่ แต่พอถึง ๑๗ ขณะของจิตรูปต้องดับ เพราะฉะนั้นการกล่าวถึงรูปที่เกิดพร้อมจิต ๑ ขณะจะแสดงว่า จิตอะไรสามารถจะเกิดรู้รูปนั้นได้บ้าง รูปที่เกิดพร้อมจิตขณะที่รูปนั้นกระทบปสาท จิตขณะนั้นเป็นภวังค์ เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่ภวังคจิตมีรูปกระทบเราใช้คำว่า อตีตภวังค์ เพื่อแสดงว่ารูปจะดับเมื่อไหร่
- ภวังคจิตเป็นวิถีจิตหรือเปล่า (ไม่) เพราะอะไร (เพราะอารมณ์เป็นอารมณ์ของชาติก่อน) ไม่ปรากฏทางไหนใน ๖ ทวาร อตีตภวังค์ดับไหม (ดับ) รูปที่กระทบปสาทและอตีตภวังค์เกิด รูปนั้นดับหรือยัง (สับสนเรื่องอายุของรูปและนิมิต) เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องละเอียด อย่าปน อย่ารีบร้อนเอาคำอื่นที่ได้ยินมาใส่ทันที เช่น นิมิต ยังไม่ต้องพูดถึงเพราะฉะนั้นธรรมต้องฟังดีๆ
- เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า เรากำลังพูดถึงรูป ๑ รูป รูป ๑ รูปที่เกิดแล้วดับทันทีหรือเปล่า (ไม่ดับทันที) เพราะฉะนั้นเราพูดถึง ๑ รูปแล้วจะรู้ว่ารูปนั้นจะอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ๑๗ ขณะจะวัดได้อย่างไรถ้าไม่พูดถึงจิตแต่ละขณะ รูป ๑ รูปเกิด รูปนั้นจะดับเมื่อไหร่ (วัดกับจิตเท่ากับจิต ๑๗ ขณะ) จิตเกิดแล้วดับทันทีหรือเปล่า (เกิดแล้วดับทันที) แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความต่างของจิต ๑ ขณะเป็นอายุของจิต ๑ ขณะ
- พระองค์ทรงแสดงว่า ขณะเกิดไม่ใช่ขณะตั้งอยู่ ไม่ใช่ขณะดับไป แม้จิต ๑ ขณะ ขณะเกิดก็ไม่ใช่ขณะดับของจิต เพราะฉะนั้นขณะเกิดยังไม่ดับมีชื่อว่า ฐิติขณะ เพราะฉะนั้นจิตมีอายุกี่ขณะ (๓) ดีมาก เพราะฉะนั้นขณะเกิดเป็นอุปาทขณะ ขณะยังไม่ดับเป็นฐิติขณะ ขณะดับเป็นภังคขณะ เพราะฉะนั้นรูป ๑ รูปมีอายุเท่าไหร่ (เท่ากับจิต ๑๗ขณะ) ถ้าพูดถึงอายุ อุปาทะ ฐิติ ภังคะ รูปๆ ๑ มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับกี่อนุขณะ (๕๑)
- ทีนี้การที่เรากล่าวถึงจิต ๑ ขณะว่าเป็นอนุขณะ ๓ ขณะเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า รูปบางรูปไม่ได้เกิดพร้อมอุปาทขณะของจิตแต่เกิดในฐิติขณะของจิต เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจมั่นคงว่า ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทุกขณะ ต้องอาศัยการฟังและละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองลึกซึ้ง
- ธรรมทุกคำที่คุณอาช่าได้ยินมาจากเมื่อสองพันหกร้อยกว่าปีแล้วเดี๋ยวนี้ที่ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงทุกแห่งที่พระองค์เสด็จ ใครที่อยู่ตรงนั้นสมัยหนึ่งที่พระองค์ประทับแสดงธรรมสามารถเข้าใจได้เพราะสะสมความละเอียดความลึกซึ้งมานาน เพราะฉะนั้นสมัยนี้ถ้าใครระลึกได้ถึงอดีตเห็นคุณมหาศาลที่ยังมีผู้ได้ฟังคำของพระองค์และเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมเดี๋ยวนี้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ถ้าใครสามารถจะรู้ได้ว่าคำนี้ที่ได้ฟังพระองค์ได้ตรัสแล้ว ณ กาลครั้งหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจเดี๋ยวนี้ได้
- เดี๋ยวนี้รูปที่กระทบตายังไม่ดับ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่กรรมให้ผลต้องเห็นคิดถึงขณะที่จิตเห็นยังไม่เกิดต้องมืดแน่นอนและทันทีที่จิตเห็นเกิดก็สว่างทันที เดี๋ยวนี้มีสีสันวัณณะต่างๆ เป็นความจริงที่เป็นรูปที่เพียงกระทบเท่านั้นที่ปรากฏได้ จากมืดสนิทแล้วสว่างทันทีเพราะจิตเห็นเกิด เป็นความจริงไหม (จริง) ในความมืดสว่างเพียง ๑ ขณะจิตที่เห็นเกิด ไม่มีใครรู้เลยว่า จิตเห็นเกิดได้อย่างไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง
- เพราะฉะนั้นจิตอะไรเกิดก่อนจิตเห็น (อาวัชชนจิต) อาวัชชนจิตเห็นไหม อาวัชชนจิตรู้ไหมว่ามีสิ่งที่กระทบตา อาวัชชนจิตเห็นไหม และก่อนอาวัชชนจิตเกิด อะไรเกิด (ภวังคุปัจเฉทะ) และก่อนภวังคุปัจเฉทะ จิตอะไรเกิด (ภวังคจลนะ) และก่อนภวังคจลนะ จิตอะไรเกิด (อตีตภวังค์) ไม่ให้เป็นอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา มั่นคงขึ้นนิดนึงจนกระทั่งสามารถจะรู้ได้ว่า ไม่ว่าขณะไหนเมื่อไหร่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ตามความเป็นจริงเป็นอนัตตา
- ไม่ใช่คุณอาช่าเลยที่เห็นแต่เป็นธรรม รูปเกิดกี่ขณะแล้ว (๔) แล้วใครจะให้รูปดับได้ไหมเดี๋ยวนี้ที่ยังไม่ถึง ๑๗ ขณะ (ไม่ได้) เพราะอะไร (จะให้รูปดับทันทีตอนนั้นไม่ได้) เพราะอะไร (เพราะอายุของรูปยังไม่ถึงเวลาดับ) เพราะเป็นธรรมตาความเป็นไปของรูปที่ต้องเป็นอย่างนี้
- จิตเห็นรูปที่กระทบตาดับแล้ว จิตต่อไปจะรู้รูปอื่นที่ไม่ใช่รูปที่กระทบตาที่ยังไม่ดับได้ไหม (ไม่ได้) ถูกต้องมั่นคงเพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อจากจิตเห็น เห็นรูปที่กระทบตาไหม (จิตที่เกิดแล้วรูปรูปเดียวกันหลังเห็น เห็นไม่ได้) เพราะฉะนั้นไม่ปรากฏ มีจิตเห็นที่กำลังเห็นจริงๆ เท่านั้นที่ปรากฏทั้งวัน
- จิตที่เกิดต่อจากจิตเห็นรู้รูปที่กระทบตาที่ยังไม่ดับ ทำกิจอะไร (สัมปฏิจฉันนะ) เป็นชาติอะไร (วิบาก) แล้วจิตที่เกิดก่อนเห็นเป็นชาติอะไร (กิริยา) ต่างกันอย่างไรกิริยากับวิบาก (กิริยาเป็นจิตที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศลและไม่ใช่ผลของกรรม ส่วนวิบากเป็นผลของกรรม)
- เพราะฉะนั้นทำไมเป็นอย่างนั้น (เพราะว่า ตอนนั้นกรรมยังไม่ถึงเวลาให้ผลและตามหน้าที่ของจิตนั้น ส่วนหลังจากเห็นเป็นวิบากเพราะตอนนั้นกรรมยังต้องให้ผลอยู่) แล้วให้ผลอย่างไร (เป็นผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรมก็ได้) และกุศลวิบากกับอกุศลวิบากต่างกันอย่างไร (ต่างกันที่อารมรณ์ที่รูปว่าเป็นอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดี) เลือกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นบางครั้งก็เห็นสิ่งที่ดีธรรมดา บางครั้งก็เห็นสิ่งที่ดีพิเศษแล้วแต่กรรม
- จักขุวิญญาณกุศลวิบากมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ (๗) ปัญจทวาราวัชชนะมีเจตสิกเท่าไหร่ (เท่าที่เคยฟังรู้ว่ามีอย่างน้อย ๗ แต่อาวัชชนะไม่ทราบว่ามี ๗ หรือมากกว่า ๗) จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยน้อยที่สุดมีจิตอะไรบ้าง (อาจจะเคยฟังแต่จำไม่ได้) เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องจำแต่เรื่องเข้าใจเหตุผล
- เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดก่อนจิตเห็นอาวัชชนจิตกับจิตเห็น จิตไหนมีเจตสิกมากกว่ากัน (อาวัชชนะมีมากกว่า) สัก ๑ เจตสิกได้ไหมว่า เจตสิกอะไรที่มากกว่า (นึกไม่ออกเพราะเราไม่เคยสนทนาเรื่องนี้ก่อนหน้านี้) เพราะฉะนั้นเราจะเรียนธรรมทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น เพราะจะต้องเข้าใจความต่างของจิตที่มีอารมณ์เดียวกันแต่ทำกิจคนละอย่าง กว่าจะค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เรา กว่าจะค่อยๆ คลายความจำว่าเป็นเรา ต้องอาศัยความเข้าใจมากมายทีละเล็กทีละน้อย
- เพราะฉะนั้นวันนี้เพิ่มเจตสิก ๑ เจตสิกคือ “วิตักกเจตสิก” จำได้ใช่ไหมว่า เคยได้ยินชื่อนี้ เพราะฉะนั้นได้ยินแล้วลืมเพราะว่ายังไม่พอที่จะทำให้ระลึกได้ในขณะนี้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรม ถ้ารู้ความหมาย รู้ความลึกซึ้งของธรรมก็สามารถที่จะเห็นความเป็นธรรมแต่ละขณะที่ต่างๆ กันได้
- ค่อยๆ เข้าใจว่า จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ๕ ทาง ไม่ต้องอาศัยเจตสิกมากเลย เพียงแรงกรรมที่ทำไว้ก็สามารถที่จะทำให้เกิดเห็นพร้อมด้วยเจตสิกเพียง ๗ ดวง เกิดได้ยินพร้อมด้วยเจตสิกเพียง ๗ ดวงแต่จิตอื่นนอกจากนั้นมีเจตสิกเกิดมากกว่า
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้จิตเห็นเกิดขึ้นทำกิจโดยไม่ต้องอาศัยวิตักกเจตสิก แต่จิตอื่นที่รู้อารมณ์เดียวกันนั้นแต่ไม่เห็นต้องมีเจตสิกเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นจิตอื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่จิต ๑๐ ดวงจะรู้อารมณ์เดียวกับจิต ๑๐ ดวงนี้ได้ต้องอาศัยเจตสิกที่เป็นวิตักกเจตสิก เพียงผัสสะเจตสิกเกิดกระทบ กรรมทำให้จิตเห็นเกิดได้ทันทีเห็นทันที
- ผลของกรรมทำให้จิตอื่นรู้อารมณ์เดียวกันแต่ไม่ได้เห็นอย่างจิตเห็นจึงต้องอาศัยวิตักกเจตสิก จิตที่จะรู้อารมณ์ที่จิตเห็นโดยไม่เห็นต้องอาศัยวิตักกเจตสิกเกิดขึ้น วิตักกเจตสิกเป็นสภาพที่จรดหรือจับอารมณ์ไว้ให้จิตรู้อารมณ์นั้นโดยไม่เห็นได้ เพราะฉะนั้นจิตอื่นทั้งหมดนอกจากจิต ๑๐ ดวงนี้ต้องอาศัยวิตักกเจตสิกจรดหรือจับอารมณ์นั้นเพื่อเจตสิกและจิตจะได้รู้อารมณ์นั้น
- ไม่ลืมวิตักกเจตสิกแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้กำลังคิดมีวิตักกเจตสิกไหม มีผัสสะเจตสิกไหม (มี) เริ่มไม่ลืมใช่ไหม ผัสสะเจตสิกคือ กระทบ จิตเกิดโดยไม่มีผัสสะเจตสิกได้ไหม (ไม่ได้) จิตเกิดโดยไม่มีวิตักกเจตสิกได้ไหม (มีได้) จิตอะไรเท่าไหร่ (มีจิต ๑๐ ดวงเท่านั้นที่ไม่มีวิตก) ถามว่า จิตที่เกิดโดยไม่มีวิตักกเจตสิกมีไหม (จำได้ว่ามี ๑๐ แต่ไม่เข้าใจว่ามี ๑๐ อย่างไร)
- เห็นไหมว่า การเรียนโดยไม่เข้าใจมีแต่จำ คุณสุคินจะเห็นได้เลยว่า กว่าคนจะเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรม เป็นอนัตตา เพียงแค่ได้ยินได้ฟังแล้วจำจำนวนไม่มีประโยชน์แต่ต้องให้เขาเข้าใจความจริงทีละน้อย มั่นคงในความเป็นธรรมที่เปลี่ยนไม่ได้
- ถามใหม่ จิตที่เกิดโดยไม่มีวิตักกเจตสิกมีไหม (มี) มีเท่าไหร่ (๑๐) เป็นชาติอะไร (วิบาก) ทำไมไม่มีวิตักกเจตสิกเกิดร่วมด้วย (เพราะกิจของ ๑๐ จิตนี้แค่รู้อารมณ์ไม่มีกิจอื่น) หมายความว่าอย่างไร (จิตเห็นก็ดี ได้ยินก็ดีก็แค่รู้อารมณ์ที่กระทบไม่มีกิจอื่นนอกจากรู้อารมณ์นั้น) เพราะเหตุว่า เป็นจิตที่เห็นจริงๆ เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัยที่ทำให้รูปนั้นกระทบตาเป็นปัจจัยให้กรรม ๑ ทำให้เกิดเห็น เห็นกำลังของกรรมไหม กรรม ๑ ทำให้จิตเห็นขณะนั้นเห็นสิ่งนั้น
- เพราะฉะนั้นจิตก่อนเห็นและจิตหลังเห็น เห็นหรือเปล่า (ไม่ได้ทำกิจเห็น) เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดก่อนรู้อารมณ์เดียวกับจิตเห็นได้อย่างไร (รู้โดยว่ามีอารมณ์กำลังเข้ามา) นั่นสิ ไม่เห็นแต่รู้เพราะอะไร (รู้ว่าอะไรจะมา) รู้อารมณ์โดยไม่เห็นได้เพราะอะไร (เพราะมีทั้งวิตกและมีผัสสะ) ต่างกันอย่างไรวิตกกับผัสสะ (วิตกคือจรด ผัสสะคือ กระทบ สองอันต่างกัน)
- ถ้ากระทบแล้วไม่จับไว้ จิตจะรู้อารมณ์นั้นได้ไหม (ถ้าไม่มีวิตกเพื่อที่จะจับอารมณ์ จิตนั้นก็ไม่สามารถรู้อารมณ์นั้นได้) นอกจากจิตกี่ประเภทกี่ดวง (๑๐ ดวง) เห็นไหมถ้าเข้าใจแล้วจะลืมไหม เพราะฉะนั้นต่อไปก็จะเพิ่มเจตสิกที่เกิดกับจิตอื่นที่ไม่ใช่จิต ๑๐ ดวง ทั้งหมดเพื่อไม่ลืมว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้ ไม่ใช่คน ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้นแต่เป็นธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง
- กำลังโกรธมีวิตักกเจตสิกไหม (มี) มีผัสสะเจตสิกไหม (มี) เห็นไหม เมื่อเข้าใจแล้วไม่สงสัยเลยเพราะเหตุว่า แต่ละธรรมเกิดขึ้นมีลักษณะต่างกันมีกิจหน้าที่ต่างกัน จึงเป็นแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย อีกนานไหมกว่าคุณอาช่าจะมั่นใจว่า ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีคุณอาคิ่ล ไม่มีอะไรหมด (ใช้เวลานานมาก) สมควรที่จะเข้าใจอย่างนั้นไหม (สมควร) เพราะอะไร (เพื่อเข้าใจความจริงโดยเฉพาะว่าไม่มีเรา) เพราะเป็นสิ่งที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
- กว่าจะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เมื่อเข้าใจความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้เปลี่ยนไม่ได้ เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้คุณอาช่าเอาดอกไม้ไปกราบไหว้หรืเปล่า เพราะฉะนั้นเวลาที่พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ความปีติทำให้พระองค์ตรัสว่า อัญญาโกรฑัญญะรู้แล้ว
- คุณอาช่ามีความสุข ดีใจยินดีไหมถ้ารู้ว่า มีคนเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ธรรมลึกซึ้งต้องไม่ลืมความละเอียด ต้องศึกษาด้วยความละเอียด ถ้าเข้าใจผิดทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเป็นโทษอย่างยิ่ง มีธรรมเดี๋ยวนี้ ธรรมเดี๋ยวนี้เกิดดับยากที่จะรู้ได้แต่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมคือเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตามปกติ
- วันนี้ถ้าไม่สนทนาธรรม คุณอาช่าคิดถึงธรรมบ้างไหม (ถ้าวันไหนไม่ได้ฟังแทบจะไม่ได้นึกถึงไม่ได้คิดถึงธรรมประจำ) ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ คิดเมื่อไหร่เข้าใจขณะนั้นด้วยใช่ไหม คุณอาช่าอยากจะได้อย่างอื่นนอกจากความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า (ไม่) ความเข้าใจที่มั่นคงสิ่งอื่นไม่มีค่าเลยเพราะว่าเพียงแค่ปรากฏแล้วหมดไป ถ้าเห็นประโยขน์ของการได้เข้าใจธรรม คุณอาช่าจะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยไหม (ช่วย) ขณะนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์
- ขอยินดีด้วยกับความเข้าใจถูกและประสงค์จะมีโอกาสที่จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจถูกด้วยของทุกคนนะคะ ยินดีด้วยในกุศลของคุณสุคินด้วยค่ะ สวัสดีค่ะ
มีธรรมเดี๋ยวนี้ ธรรมเดี๋ยวนี้เกิดดับยากที่จะรู้ได้แต่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมคือเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตามปกติ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ