สิ่งที่ต้องดับก่อน
ความโลภ คือ สมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) เช่น โลภะอย่าง หยาบๆ (ความพอใจในรูป - เสียง - กลิ่น - รส - สัมผัสทางกาย (กามคุณ ๕) ที่เกิดกับอุเบกขาเวทนา รวมถึง โมหมูลจิต (ซึ่งบางครั้งท่านกล่าวว่าเป็นสมุทัยด้วย) ผู้มีปัญญาขั้นสมถภาวนา ในครั้งที่ไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สามารถระลึกรู้ พร้อมปัญญา และสามารถข่มไว้ด้วยฌานจิตได้ แต่วิปัสสนาที่ดับทิฏฐิเจตสิกเด็ดขาด (ของพระอริยบุคคลขั้นต้น คือ พระโสดาบัน) ไม่สามารถเกิดได้ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมขั้นประจักษ์แจ้ง ดังนั้นผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรม ก็ไม่เข้าใจหนทางเจริญปัญญาขั้นสติปัฏฐาน จึงพยายามที่จะดับความยินดีพอใจในกามคุณ ๕ โดยผิดทาง เพราะแยกโลภะ ที่ประกอบกับทิฏฐิเจตสิกไม่ได้ เพราะความใจร้อน เพราะความอยากได้ผลเร็ว จึงปฏิบัติธรรมแบบผิดๆ มากมาย ในปัจจุบัน มิต้องกล่าวถึงอกุศลสมาธิ (มิจฉาสมาธิ) ที่เผยแพร่ไปทั่วโลก เพราะนั่นเป็นโลภะ และโมหะ ล้วนๆ เหตุให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) ขั้นต้น ที่ต้องดับคือ ความพอใจในความเห็นผิดจากการปฏิบัติธรรม ซึ่งได้แก่ โลภะ ทิฏฐิคตสัมปยุตต์นั่นเอง
อบรมสติปัฏฐาน ละความเห็นผิดและเจริญกุศลทุกๆ ประการ ในบารมี ๑๐ นี่คือหนทางดับกิเลส ควบคู่กันไป
ขออนุโมทนาครับ
กุศลกรรมบท ๑๐ - บุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ และ มงคล ๓๘ ก็ควรเจริญ ควบคู่ไปกับ บารมี ๑๐ ด้วยนะครับ (ที่จริงก็คือ กุศลทุกประการนั่นเอง ทั้ง ทาน-ศีล-ภาวนา และ ศีล - สมาธิ - ปัญญา)
อย่าเป็นคุณประมาท ด้วยนะครับ
พระปัจฉิมโอวาท
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต"
ทีฆนิกาย มหาวรรค
มหาปรินิพพานสูตร
ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะมีพุทธพจน์ เปรียบความไม่ประมาทเหมือนรอยเท้าช้าง กุศลอื่นๆ เหมือนรอยเท้าของสัตว์อื่นๆ ย่อมรวมลงในรอยเท้าช้างนั่นแล คงต้องรบกวนเพื่อนสมาชิกท่านใดก็ได้ช่วยยกพระสูตรนี้มาให้ทุกท่านได้อ่าน กันไม่อยากรบกวน มศพ. หรือคุณแล้วเจอกัน น่ะครับ เกรงใจ
ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
จริงอย่างที่คุณพรชัยกล่าวค่ะ สิ่งที่จะต้องดับก่อนคือ โลภะ ถ้าเป็นคนที่ตรง จะรู้ว่ายากมาก และสิ่งที่จะต้องเกิดก่อนหรือรู้เท่าทันก็คือ ปัญญา ซึ่งก็ยากมากๆ อีกเช่นกัน ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้เจอหนทางที่ถูกต้องในการศึกษาพระธรรมให้เห็นถูก เข้าใจถูก และมีความมั่นคงจริงๆ แล้ว จะไม่รู้ตัวเองเลยว่าเสียเวลาเปล่ากับการไปปฏิบัติก่อน ก่อนที่จะศึกษาและฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง ต้องขอย้ำคำว่าแนวทางที่ถูกต้องด้วยนะค่ะ
สำหรับตัวเองแล้วก่อนที่จะได้เจอหนทางที่ถูกต้องนี้ ก็เรียกว่า หลงทางไปหลายสิบปี เพราะตามๆ ผู้ใหญ่ และเพื่อนๆ ไปปฏิบัติ นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์หลายๆ บท หรือบทเดียวแต่ซ้ำๆ กัน เพื่อสนองโลภะของตัวเอง อยากจะเห็น อยากจะได้เหมือนคนอื่นเขาบ้าง โดยที่คิดว่าหนทางนี้ถูกต้องแล้วเพราะไม่ได้ทำ ให้ใครเดือดร้อนเลย นอกจากตัวเราเองที่ลงทุนไปทรมานตัวเอง และกระทำตามคำบอกเล่าที่ได้ฟังมาว่า ทำแล้วจะได้ดี มีความสุข บุญบารมีมาก (โลภะเต็มๆ ) ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องการมีความสุขมากกว่าทุกข์ จริงไหมคะ? แต่ว่า ทุกคนมีปัญญาที่สะสมมาไม่เท่ากัน จึงหาวิธีทางการศึกษาพระธรรมที่ต่างกัน ซึ่งส่วน ใหญ่มักจะหลงทางเสียมากกว่า
ในสังคมปัจจุบันคนที่เห็นถูกมักจะโดนมองว่าเป็นคนที่ มีความคิดแปลกๆ ต่างจากคนอื่น เพราะปัจจุบันตามสถานที่ต่างๆ มักจะจัดปฏิบัติแบบ นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์หลายๆ บทหรือบทเดียวแต่ซ้ำๆ กัน โดยอ้างว่าจะได้บุญบารมีมากๆ ถ้าบุคคลนั้นสามารถปฏิบัติได้หลายๆ วัน ยิ่งสังคมปัจจุบันคนจะต้อง เจอปัญหามากมาย เกิดความเครียด และมองหาหนทางออก เพื่อให้ตัวเองมีความสุข สงบแม้เพียงเล็กน้อยก็เอา แล้วค่อยกลับมาต่อสู้กับปัญหาต่อ โดยไม่รู้ว่าหนทางนั้น ไม่ใช่หนทางที่ถูกเลย เมื่อบุคคลนั้นได้ศึกษา และฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว ก็จะเกิดปัญญาเบื้องต้นขึ้นเล็กน้อย โดยมองเห็นกิเลสของตัวเองเป็นพื้นฐานก่อน แล้วค่อยๆ เริ่มขัดเกลาทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองเริ่มคิดที่จะอยาก นั้น ก็คือ กิเลสแล้ว ถึงแม้ว่าไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเลยก็ตาม ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านมากค่ะที่ร่วมเป็นกำลังใจให้กับข้าพเจ้า นับว่าตัวเองยังมีบุญที่ครั้งนั้นได้ ไปอินเดียกับพี่สาว และกลับมาก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิต ในการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ค่ะ และได้พบและมีกัลยาณมิตรที่ดีคอยแนะนำช่วยเหลือเพื่อเพิ่มพูนการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง
ด้วยความขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ
สิ่งที่ต้องดับก่อนคือ การยึดถือสภาพธรรมทุกอย่างว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน วัตถุ ด้วยการ "อบรมเจริญสติปัฏฐาน ๔" จนกว่าจะ "ละความเห็นผิด" จริงอยู่ ไม่มีใครอยากมีโลภะมาก แต่โลภะก็เกิดตามเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้น แม้แต่โลภะก็เป็นสภาพธรรมที่ปุถุชนพึงรู้ ไม่ใช่ดับ
ขออนุโมทนา กับ คุณวรรณี ที่ยกอัปปมาทสูตร เรื่องรอยเท้าช้าง มาให้ทุกท่านได้อ่านนะครับ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ..........