ได้ฟังมาอย่างนี้ว่า .......
เมตตา ===>มีความเป็นมิตร เท่ากันเสมอกัน
กรุณา ===> เข้าใจ และ เห็นใจ
มุทิตา ===> พลอยยินดี เมื่อใครๆ รับ ผลของกุศล
อุเบกขา==> วางเฉย เมื่อ ใครๆ รับผลของอกุศล
สองรายการสุดท้ายคิดเอง อะครับ :)
ขอนอบน้อม พระปัญญาคุณ
ขอคารวะ ธรรมะที่อาจารย์ อดทนสั่งสอนครับ
พรหมวิหาร ๔ คือ ธรรมอันเป็นที่ตั้งของผู้ประเสริฐ ถ้าเป็นความเข้าใจในชื่อ เราก็คงเคยอ่านเจอในหนังสือต่างๆ หรือรู้ความหมายมาบ้างแล้ว แต่ในความเป็นจริง พรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นกุศลขั้นสูงที่ปุถุชนผู้ที่มีกิเลสเยอะอย่างเราเจริญได้ยากมากๆ ท่านผู้ที่จะอบรมเจริญพรหมวิหาร ๔ ได้จะต้องอาศัยการสั่งสมปัญญามา ที่จะเห็นโทษภัยของอกุศลที่เกิดแม้ประมาณน้อย และจะต้องเป็นผู้ที่มีสติระลึกรู้โดยละเอียดจริงๆ ว่า อกุศลเกิดมากมายแค่ไหนในแต่ละวัน แล้วจึงจะเริ่ม เจริญกุศลฌาณในแต่ละขั้นให้เกิดมากขึ้น แทนการเกิดของอกุศลได้ แต่จะสามารถบรรลุอรหัตตมรรคได้ ก็ต่อเมื่อได้เจริญฌาณในสมถวิปัสสนาที่ควบคู่ไปกับการเจริญวิปัสสนาญาณที่จะทำให้สามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดในสภาพจริงของปรมัตถธรรมโดยละเอียดครับ
เชิญคลิกอ่านได้ที่...
พรหมวิหาร ๔ [อรรถกถาเมตตาสูตร]
ถ้าเราได้ศึกษาโดยละเอียดขึ้น เราก็จะเริ่มรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าเราสามารถที่จะอบรมเจริญพรหมวิหาร ๔ ในชีวิตประจำวันได้หรือไม่ ปกติเราเห็นประโยชน์ของกุศลทุกประการจริงๆ หรือยัง เมื่อเราเห็นว่า ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาขั้นสูงที่สั่งสมมาที่จะเห็นโทษของอกุศล ที่ไม่ใช่แค่เพียงโทษของโทสะที่เกิดกับจิต แต่รวมไปถึงโทษของโลภะที่ทำให้เกิดการติดข้อง ชอบพอ ในทุกๆ สิ่งด้วย เราก็จะไม่ฝืนไปอบรมในสิ่งที่เรายังทำไม่ได้ แต่จะเปลี่ยนเป็น การเริ่มอบรมเจริญปัญญาให้เกิดความเห็นถูกในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนครับ