ภาพเคลื่อนไหว ... กับ... วิจารณญาณ
ในขณะที่เรารับชมภาพยนต์หรือทีวีก็ตาม จะเห็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมกับได้ยินเสียง เป็นเรื่องราวของคน ของสัตว์ กระทำสิ่งต่างๆ ราวกับว่าเป็นเรื่องจริงในขณะที่รับชม ถ้าพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นพบว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นเพียงรูปธรรม ที่มีรูปหลายๆ รูปมาประชุมกัน เมื่อผู้ชมรับรู้รูปทั้งทางตาและทางหูจึงรู้อารมณ์และคิดนึกไปตามเรื่องราว ที่รับรู้ รูปธรรมที่ปรากฎกระทบทางตาและหู ที่พอจะยกขึ้นมาในที่นี้ได้แก่ มหาตรูป-๔ และอุปาทายรูปได้แก่ รูป เสียง อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ส่วนรูปธรรมที่ไม่ปรากฎได้แก่ จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ ชีวิตินทรีย์ แม้ว่าจะปรากฎเพียงไม่กี่รูป ผู้รับชมก็ยังหลงเห็นสิ่งที่ปรากฎ ว่าเป็นคนเป็นตัวตนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าสิ่งที่ปรากฎเป็นรูปธรรมที่มีครบทั้ง ๒๘ รูปทำไมเราจะไม่หลงผิดเห็นว่าสิ่งนี้เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเล่า
เห็นได้ว่า การเกิดของอุปาทายรูปนั้นต้องอาศัยมหาภูตรูป ขึ้นอยู่ว่ามหาภูตรูปนั้นจะเป็น จอภาพ จอหนังที่เราชมอยู่หรือมหาภูตรูปเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เมื่อเราเห็น สัตว์ บุคคลใดๆ อุปาทายรูปนั้น ไม่เกี่ยวข้องไม่สัมปยุตกันกับมหาภูตรูป เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็อาศัยมหาภูตรูปอื่นเกิดขึ้นได้อีกไม่ว่าจะเห็นจะได้ยินเสียงจากสิ่งใดก็ตาม กี่ครั้งก็ตาม ต่างก็เป็นสังขตะ เกิดดับ มีแล้วก็หามีไม่ การชมภาพยนต์ ดูทีวี ไม่ใช่การเจริญสติ ไม่ใช่สติปัฎฐาน ไม่มีกล่าวไว้ในพระสูตรพระธรรมใดๆ พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล เว้นแต่เป็นการรับชมรายการธรรมะ เช่นรายการธรรมะทางช่อง ๑๑ โดย อ.สุจินต์ เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ เวลาที่มีค่าทุกขณะในชีวิต แม้ไม่อาจรู้ขณะจิตของตนโดยละเอียดได้ ก็ไม่จะควรประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ โดยเฉพาะการมีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรมที่ถูกต้องใ่นแต่ละวันไม่ว่าจะทางใดก็ตามครับ
ข้อความบางตอน...
ว่าด้วยพระมหากัจจานะแสดงอุเทศโดยพิสดาร
เชิญคลิกอ่านได้ที่...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การเว้นขาดจากการดูการละเล่น เช่น ทีวี การฟ้อนรำนั้น ทรงตรัสหมายเอาเพศภิกษุ หรือเพศฆราวาสผู้ถือศีล ๘ และผู้ที่มีอัธยาศัย เป็นปกติที่จะไม่ดูการละเล่นต่างๆ เลย เพราะดับกิเลส เป็นพระอนาคามีแล้ว แต่ก็ต้องรู้จักตัวเองและเป็นผู้ตรงว่า เราเป็นเพศใด ฆราวาสหรือภิกษุครับ ยังเป็นผู้ยินดี ในรูป เสียง เป็นธรรมดา ที่สำคัญที่สุด ต้องไม่ลืมคำนี้เสมอ เป็นผู้มีปรกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน หมายความว่า สติเกิดได้ ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เพราะมีธรรมให้สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ครับ ขณะดูทีวี มีธรรมไหม หรือไม่มี ก็มีธรรม เช่น เห็น เสียง เป็นธรรมครับ สติปัฏฐาน สามารถเกิดระลึกได้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ไม่ได้หมายความว่า การดูทีวีดีหรือสนับสนุน แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ดู ก็ดู แล้วขณะที่ดูก็ไม่ปราศจากธรรมครับ ท้าวสักกะผู้เป็นพระโสดาบัน ก็ยังยินดีในการเล่น เพราะท่านยังมีความยินดี พอใจ (โลภะ) อยู่ครับแต่ท่านก็ไม่ได้ยึดถือว่าเป็นเรา ดังนั้น จึงไม่ควรลืมคำว่า เป็นผู้มีปรกติ อบรมเจริญสติปัฏฐาน และสติจำปรารถนาในที่ทั้งปวงครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์