ความสุขในชีวิตที่แท้จริง

 
lokmom
วันที่  10 ต.ค. 2550
หมายเลข  5069
อ่าน  2,970

ความสุขในชีวิตที่แท้จริงคืออะไร ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 10 ต.ค. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ที่เราทุกข์เพราะสิ่งนั้นไม่เที่ยง แปรปรวนไป ความสุขของปุถุชนคือ การได้รูป เสียง กลิ่น... ที่น่าพอใจ เป็นต้น แต่สิ่งนั้นก็ไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น เหตุให้เกิดทุกข์ คือกิเลสที่ไปติดข้องในสิ่งต่างๆ การจะมีความสุขที่แท้จริงคือ ไม่มีกิเลส เพราะกิเลสนำมาซึ่งทุกข์ และการไม่มีกิเลส ก็ต้องเป็นปัญญาเท่านั้น ที่จะไม่ทำให้มีกิเลส โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมที่ถูกต้องครับ กิเลสมีมาก จะให้ไม่มีกิเลสทันทีหรือไม่ให้ วุ่นวายใจเลย เป็นไปไม่ได้ ต้องค่อยๆ อบรมปัญญาทีละเล็กละน้อย โดยเริ่มจากการฟังครับ ให้เข้าใจความจริงว่า ธรรมคืออะไร เข้าใจความจริงของตัวเรา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานครับ อดทนที่จะฟังให้เข้าใจพระธรรมที่ถูกต้องซึ่งหาฟังได้ในเวปนี้

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 10 ต.ค. 2550

เรื่อง ปัญญาเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้ และไม่ต้องทุกข์ ถึงความสุขที่แท้จริง

[เล่มที่ 21] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 45

ข้อความบางตอนจาก

รัฏฐปาลสูตร

นักปราชญ์ ทั้งหลายกล่าวชีวิตนี้ ว่าน้อยนัก ว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ย่อมกระทบผัสสะ ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ก็กระทบผัสสะเหมือนกัน แต่คนพาล ย่อมนอนหวาดอยู่ เพราะความที่ตนเป็นพาล ส่วนนักปราชญ์ อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะเหตุนั้นแล ปัญญาจึง ประเสริฐกว่าทรัพย์ ปัญญาเป็นเหตุถึงที่สุดในโลกนี้ได้

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
dron
วันที่ 11 ต.ค. 2550

ความสุขที่แท้จริงคือเข้าใจจริงๆ ว่าทุกสิ่งเป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ตราบใดที่ยังมีเรา มีตัวตน สัตว์ บุคคล ก็ยังต้องมีทุกข์ ก็ต้องอดทนที่จะฟัง และศึกษาให้เข้าใจ ชึ่งไม่ใช่เข้าใจแค่ในขั้นการฟังเท่านั้น

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Komsan
วันที่ 12 ต.ค. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พุทธรักษา
วันที่ 12 ต.ค. 2550

ไม่มี "เรา" ที่ทุกข์ใจ สุขใจ มีแต่สภาพนามธรรมที่เรียกว่า "วิตกเจตสิก" (ความคิด) (ข้อความโดยละเอียดมีใน เทปชุดโสภณธรรมตลับที่ ๔๖-๕๐ และ "สักกปัญหสูตร"เรื่อง ปัญหาของท้าวสักกะ)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ครูโอ
วันที่ 12 ต.ค. 2550

ความสุข เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา เป็นเวทนาเจตสิก แบ่งออกเป็น

- สุขกาย (สุขเวทนา) เป็นผลของกุศลกรรม

- สุขใจ (โสมนัสเวทนา) เกิดพร้อมกับอกุศลจิต หรือกุศลจิต ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นปุถุชน สุขใจเพราะอกุศล คือ "โลภะ" ครับ

ความสุข มีสภาพเป็นทุกข์ด้วย เมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ดับนั้น ไม่มี สุขกายเป็นกุศลวิบาก เกิดแล้วก็ดับไป แต่สุขใจจากอกุศลที่พอใจในสุขกายที่ดับแล้วเป็นสิ่งที่ลวงหลอกเรา ประเล้าประโลมให้เราฟูใจ จนลืมไปว่าเป็นสภาพธรรมะหนึ่งๆ เช่นกัน พอไม่ได้อย่างที่เคยได้อีกก็เป็นเหตุให้ต้องทุกข์ใจภายหลัง ฉะนั้น การยึดความสุข หวังในความสุข ย่อมเป็นทุกข์ เพราะธรรมะที่ดับไปแล้ว ไม่หวนกลับมาเกิดซ้ำได้อีก หมดแล้วก็หมดเลย ขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์จริงๆ

สุขใจที่เกิดพร้อมกุศลจิตไม่หลอกลวง ควรเจริญเพราะไม่เป็นโทษภัยในภายหลัง แต่หนทางที่จะทำให้ไปถึงฝั่งแห่งความสุขแท้ที่ไม่ต้องทุกข์ใจอีกเลย มีเพียงหนทางเดียว คือการอบรมเจริญปัญญา ที่มีปัจจัยให้เกิดสุขใจ หรือไม่ทุกข์ ไม่สุขใจ (เฉย) เกิดขึ้น เมื่อปัญญาเกิดสั่งสมจนมีกำลังที่สามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดอริยสัจจธรรม บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ตายอีก และย่อมจะหลุดจากถูกจองจำในภพชาติตลอดไป เมื่อถึงกาลที่จะปรินิพพาน (นานครับ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะท้อใจ)

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
PUM
วันที่ 13 ต.ค. 2550

ความสุขในชีวิตที่แท้จริงคือ...นิรามิสสุข

สามิสสุข ความสุขที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง....มิใช่สุขที่แท้จริง เพราะเป็นความสุขที่มีความพร่องอยู่เสมอไม่มีวันเติมให้เต็มได้ ต้องดิ้นรนแสวงหามาเติมอยู่เรื่อยๆ ถ้าแสวงหามาโดยสุจริตก็บรรเทาทุกข์ได้ชั่วขณะ แต่ถ้าแสวงหาโดยทุจริตก็ได้ลิ้มรสความสุขที่น้อยนิดแต่ต้องได้รับโทษแสนสาหัสในภายหลัง เสมือนความสุขของคนเกาแผล เพียงแค่บรรเทาอาการคันชั่วขณะแต่มิได้ทำให้แผลหายกลับทำให้แผลขยายวงกว้างออกไปอีก

นิรามิสสุข ความสุขที่ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งคือนิพพาน ไม่เจือด้วยกิเลส เป็นความสุขของพระอริยเจ้าเป็นความสุขของผู้มีปัญญาบริบรูณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ครูโอ
วันที่ 13 ต.ค. 2550

อนุสัยกิเลสนอนเนื่องอยู่ในจิตที่เกิดดับสืบต่อกันของผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อโลกุตตรมรรคจิตเกิด มีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็จะกระทำการ "ประหาร" อนุสัย กิเลสนั้นๆ ได้เป็นสมุจเฉท ตามลำดับขั้นของการบรรลุเป็นพระอริยบุคคล เมื่อบรรลุแล้ว จิตและเจตสิกก็เกิดดับสืบต่อกันด้วยเหตุปัจจัยอยู่ การที่จิตจะดับแล้ว ไม่มีจิตดวงต่อไปเกิดต่อได้ก็ต่อเมื่อจุติของพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้วดับไปเท่านั้น เมื่อสติเกิด สติเพียงคั่นกระแสของอกุศลจิต แต่ "ปัญญา" กระทำกิจเห็นถูก รู้ถูกว่าอกุศลที่เกิดนั้น เป็นเพียงสภาพธรรมะหนึ่งๆ ที่ปรากฏขึ้นตามความเป็นจริง ปัญญาขั้นสูงสามารถปิดกั้นกระแสของอกุศลที่เกิดได้มากขึ้นตามกำลัง และ ปัญญาที่จะสามารถดับกิเลสได้โดยสิ้นเชิง ไม่หลงเหลือพืชเชื้อ ถอนถึงรากเหง้า ก็คือ ปัญญาที่เกิดร่วมกับอรหัตตมรรคจิต ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
อิสระ
วันที่ 13 ต.ค. 2550
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ku_thum
วันที่ 13 ต.ค. 2550

ได้ดูภาพอินเดีย 1, 2 ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์และคณะที่ไปอินเดียขอบคุณ และ อนุโมทนา ในทีมงานที่ทำให้มีโอกาสได้น้อมระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสื่อสารจากภาพ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kitti2232
วันที่ 14 ต.ค. 2550

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านที่ให้ข้อคิดดีๆ มาเสนอ ดิฉันเรียนน้อย ต้องคอยติดตามอบรมจิตเพื่อให้เกิดปัญญาต่อไป

ขอขอบพระคุณ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 25 ก.พ. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ