โดดเดี่ยวในหนทางนี้แต่.......
เหงาที่ต้องเดินลำพังในหนทาง
การระลึกรู้ลักษณะสภาพธัมมะที่กำลังปรากฎ
โดนคุมขังในความไม่รู้ลักษณะของสภาพธัมมะ ที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล
แต่แล้ว เมื่อปัญญาเกิดจึงเข้าใจว่า..คุ้มค่ากับการเดินลำพัง ในหนทางที ถูกเพราะหมู่สัตว์ส่วนมากย่อมไม่ยินดีในพระธรรมและเข้าใจหนทางที่ผิด จึงมีส่วนน้อย ที่จะเข้าใจหนทางนี้ ทางเพื่อละ ที่สำคัญทางนี้มีไว้สำหรับผู้สะสมความเห็นถูกเท่านั้น จึงภูมิใจที่เดินลำพังแต่เดินมาถูกทางแล้วแต่ในท่ามกลางความลำพังนั้นก็ยังมีบุคคลที่สะสมความเห็นถูกมาเป็นเพื่อนในพระธรรม
ขออนุโมทนาครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
[เล่มที่ 59] ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ ๘๕๒
[๑๓๙๕] กรรมที่บุคคลทำในอสัตบุรุษ ย่อมฉิบหายไม่งอกงาม เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในไฟย่อมถูกไฟไหม้ไม่งอกงาม ฉะนั้น
[๑๓๙๖] ส่วนกรรมที่บุคคลทำในคนกตัญญู มีศีล มีความประพฤติประเสริฐ ย่อมไม่ฉิบหายไป เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดี ฉะนั้น
ขออนุโมทนา
พุทธองค์ทรงแสดงธรรม งามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด เปรียบเหมือน บุคคลผู้หงายของที่คว่ำอยู่ เปิดของที่ปิดอยู่ บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดเพื่อผู้มีจักษุจะพึงเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะ ตลอดชีวิต
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
และขออนุโมทนาครับ
ธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา
แม้กุศล และ อกุศล ก็ไม่ใชเรา
มี เพียงปัญญา เท่านั้น ที่ทำให้เข้าใจและเห็นถูกได้
เคยได้ยินว่า ผู้มีปัญญา พึงท่องเที่ยวไปผู้เดียวดุจนอแรด... โลภะคือสิ่งที่คอยติดตามไปทุกที่...
ถ้าจำไม่ผิด ท่องเที่ยวไปผู้เดียวดุจนอแรด ท่านหมายถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า นะครับ ผู้รู้กรุณา ให้ความกระจ่างด้วยครับ
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด เปรียบเหมือนบุคคลผู้หงายของที่คว่ำอยู่ เปิดของที่ปิดอยู่ บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดเพื่อผู้มีจักษุจะพึงเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะ ตลอดชีวิต