นิมิตเห็นงานศพตนเอง แปลว่าอะไรคะ

 
medulla
วันที่  13 พ.ย. 2548
หมายเลข  514
อ่าน  2,253

มีครั้งหนึ่ง นั่งสมาธิแบบภาวนาสมถกรรมฐานตามปกติ ดิฉันได้นิมิตรางๆ เป็นภาพ ในใจรางๆ ว่ามีงานศพตนเองมีชาตะ มีมรณะที่ป้าย แต่จำวันไม่ได้ รู้สึกสลดหดหู่ใจ มาก ทำให้ปลงและรู้สึกคลายๆ และเข้าใจว่าตนเอง เหมาะกับกรรมฐานที่ให้ระลึกถึง ความตาย ใช่มั้ยคะ เพราะเป็นความรู้สึกปิติขึ้นมา ได้สติมากกว่าเดิม (มรณานุสสติ) ความอยากร่ำอยากรวย อยากสวย อยากอยากและอยาก มันหายไปเยอะมาก หลังจาก นิมิตเห็นงานศพ และนึกถึงเรื่อยๆ ว่าต้องตาย ตายแน่ๆ อาจจะวินาทีถัดไปนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 13 พ.ย. 2548

การอบรมสมถภาวนาที่ถูกต้อง ผลคือจิตสงบจากอกุศล การเห็นภาพนิมิตต่างๆ ไม่ใช่ ผลของการเจริญสมถภาวนาที่ถูกต้อง ภาพนิมิตต่างๆ ไม่ใช่ของจริง ไม่ควรใส่ใจ ควรเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน เพื่อปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อรู้สภาพธรรมจิตย่อมสงบจากอกุศลและพ้นจากวัฏฏะทุกข์ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 พ.ย. 2548

โดยมากความต้องการผล ทำให้หาวิธี แต่นี่เป็นลักษณะของความต้องการหรือเปล่า ซึ่งก็เป็นเพราะความต้องการ จึงไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญา ผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐานนั้น อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แล้วละ แต่เมื่อยังไม่รู้ก็ไม่ละ

วิธีก็คือ เริ่มต้นจากการฟัง แล้วพิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจ จนเป็นปัญญาของผู้ฟังเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 พ.ย. 2548

การทำสมาธิให้จิตจดจ่อที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานๆ นั้น เมื่อไม่ประกอบด้วยปัญญาก็เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะขณะนั้นเป็นความพอใจที่จะให้จิตตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ที่อารมณ์เดียว เมื่อปราศจากปัญญาก็ไม่สามารถรู้ ความต่างกันของโลภมูลจิตและกุศลจิต เพราะโลภมูลจิตและกามาวจรกุศลจิตมีเวทนาประเภทเดียวกันเกิดร่วมกันด้วย คือ โลภมูลจิต ๘ ดวง มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง

ฉะนั้น ขณะใดที่อุเบกขาเวทนาเกิดขึ้นหรือโสมนัสเวทนาเกิดขึ้น จึงยากที่จะรู้ว่าจิตที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนหรือขณะที่โสมนัสยินดีเป็นสุขนั้น เป็นโลภมูลจิตหรือเป็นมหากุศลจิต

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 พ.ย. 2548

การเจริญสมถภาวนาเป็นการเจริญมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ผู้ที่จะเจริญสมถภาวนาต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นโทษของอกุศลทั้งโลภะและโทสะ ไม่ใช่เห็นแต่โทษของโทสมูลจิต ซึ่งเป็นความกังวลใจเดือดร้อนใจต่างๆ เท่านั้น ผู้ที่ไม่รู้จักกิเลสและไม่เห็นโทษของโลภะ ย่อมไม่สามารถเจริญสมถภาวนา

ฉะนั้น ผู้ที่เจริญสมถภาวนาจึงเป็นผู้ตรง มีปัญญาเห็นโทษของโลภะ และมีสติสัมปชัญญะรู้ขณะที่ต่างกันของโลภมูลจิต และมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต จึงจะเจริญมหากุศลญาณสัมปยุตต์เพิ่มขึ้นๆ จนอกุศลจิตไม่เกิดแทรกคั่นได้ จนกว่าจะเป็นอุปจารสมาธิ แล้วบรรลุอัปปนาสมาธิ คือ ปฐมฌาน กุศลจิตประกอบด้วยองค์ฌาน ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pornpaon
วันที่ 17 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
lovedhamma
วันที่ 13 มี.ค. 2555

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียดมากๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 24 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ