ชราสูตร - อุปปถสูตร - ๒o ต.ค. ๒๕๕o
สนทนาธรรมที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันเสาร์ ๒๐ ต.ค. ๒๕๕๐
เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐ น.
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๗๐
ชราสูตร
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๗๙
อุปปถสูตร
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๗๐
ชราวรรคที่ ๖
๑. ชราสูตร
[๑๕๘] เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอ ยังประโยชน์ให้สำเร็จจนกระทั่งชรา อะไรหนอ ตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ อะไรหนอ เป็นรัตนะของคนทั้งหลาย อะไรหนอ โจรลักไปไม่ได้.
[๑๕๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ศีล ยังประโยชน์ให้สำเร็จจนกระทั่งชรา ศรัทธา ตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ ปัญญา เป็นรัตนะของคนทั้งหลาย บุญ อันโจรลักไปไม่ได้
อรรถกถาชราสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๑ แห่งชราวรรคที่ ๖ ต่อไป :-
บทว่า สาธุ ความว่า ย่อมให้บรรลุประโยชน์อันดี พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงคำว่า สาธุ นี้ ด้วยบทว่า สีลํ ยาว ชรา นี้ ก็เครื่องประดับ ทั้งหลายมีแก้วมุกดาแก้วมณีและผ้าเป็นต้นย่อมงามแก่บุคคลในเวลาที่ยังเป็นหนุ่มสาวเท่านั้น เมื่อบุคคลทรงเครื่องประดับเหล่านั้นในเวลาที่ตนเป็นผู้แก่คร่ำคร่าแล้ว เพราะชราก็จะประสบถ้อยคำอันบุคคลพึงกล่าวว่า บุคคลนี้ย่อมปรารถนาจะเป็นเด็กแม้ในวันนี้ เห็นจะเป็นบ้า ดังนี้ ส่วนศีลหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะว่า ศีลย่อมงามตลอดกาลเป็นนิตย์ ชนทั้งหลายย่อมรักษาศีลในวัยเด็กก็ดี ในวัยกลางคนก็ดี ในวัยแก่ก็ดี ย่อมไม่มีผู้ที่จะกล่าวว่ามีประโยชน์อะไรด้วยศีลของบุคคลนี้ ดังนี้
บทว่า ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ อธิบายว่า ชื่อว่า ศรัทธาตั้งมั่นอันมาแล้วด้วยมรรคย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จเหมือนศรัทธาของชนทั้งหลายมีหัตถกะอุบาสก ชาวอาฬวกะและจิตตคหบดี เป็นต้น
ในคำว่า ปัญญาเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย นี้บัณฑิตพึงทราบว่าเป็น รัตนะ เพราะชนทั้งหลายทำความยำเกรง สมจริงตามที่พระผู้-มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้าว่ารัตนะ คือบุคคลผู้อันบุคคลพึงทำความยำเกรงไซร้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นบุรุษเพียงดังสีหะ ก็เป็นผู้อันบุคคลพึงทำความยำเกรงมิใช่หรือ แม้ชนทั้งหลายผู้ควรยำเกรงในโลกมีอยู่ ชนเหล่านั้น ควรทำความยำเกรงในพระผู้มีพระภาคเจ้า ผิว่า รัตนะ คือบุคคลผู้ประกอบความยินดีไซร้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นบุรุษเพียงดังสีหะ ก็เป็นผู้อันบุคคลพึงทำความยินดีมิใช่หรือ เพราะเมื่อพระพฤติตามคำของพระองค์ย่อมอภิรมย์ด้วยความสุข อันเกิดแต่ความพอใจในฌาน และความสุขอันเกิดแต่ความยินดี ผิว่า รัตนะ คือ เป็นผู้ไม่มีใครเสมอไซร้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นบุรุษเพียงสีหะ ก็ไม่มีบุคคลเสมอ (มีคุณอันบุคคลชั่งไม่ได้) มิใช่หรือเพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระบารมีอันเป็นความดียิ่งกว่าความดีทั้งหลายใครๆ ไม่อาจเพื่อจะเสมอ (ใครๆ ไม่อาจเพื่อชั่งได้) ผิว่า รัตนะ คือ เป็นบุคคลหาได้โดยยาก พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นบุรุษเพียงดังสีหะ ก็เป็นบุคคลที่หาได้โดยยาก มิใช่หรือ ผิว่า รัตนะ คือเครื่องใช้สอยของสัตว์อันไม่ทราม พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เป็นผู้ไม่ทรามด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ มิใช่หรือ แต่ในที่นี้ ตรัสว่า ปัญญาเป็นรัตนะ เพราะอรรถว่า เป็นความปรากฏแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า อันบุคคลหาได้โดยยาก
บทว่า บุญ ได้แก่ บุญเจตนา (เจตนาอันเป็นบุญ) เพราะว่าเจตนานั้นถึงความเป็นภาวะมิใช่รูป อันใครๆ ไม่อาจเพื่อนำไปได้ ดังนี้แล
จบ อรรถกถาชราสูตรที่ ๑
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๗๙
๘. อุปปถสูตร
[๑๗๒] เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอบัณฑิตกล่าวว่าเป็นทางผิด อะไรหนอสิ้นไปตามคืนและวัน อะไรหนอเป็นมลทินของพรหมจรรย์ อะไรหนอมิใช่น้ำแต่เป็นเครื่องชำระล้าง.
[๑๗๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ราคะ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นทางผิด วัยสิ้นไปตามคืนและวัน หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์ หมู่สัตว์นี้ย่อมติดอยู่ในหญิงนี้ ตบะ และพรหมจรรย์ นั้น มิใช่น้ำแต่เป็นเครื่องชำระล้าง
อรรถกถาอุปปถสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอุปปถสูตรที่ ๘ ต่อไป :-
บทว่า ราโค อุปฺปโถ ความว่า ราคะนั้นมิใช่ทางของผู้ไปสู่สุคติ และพระนิพพาน
บทว่า รตฺติทิวกฺขโย ได้แก่ ย่อมสิ้นไปทั้งกลางคืนและกลางวัน
บทว่า อิตฺถี อธิบายว่า มลทินภายนอกที่เหลือ (นอกจากมลทินของพรหมจรรย์) บุคคลอาจเพื่อชำระล้างให้สะอาดได้ โดยการตกแต่งแก้ไขให้ปราศจากไป เป็นต้น ส่วนผู้ที่ถูกต้องมลทิน คือ มาตุคาม ไม่อาจเพื่อให้บริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า หญิงเป็นมลทิน ดังนี้
บทว่า เอตฺถ แปลว่า หมู่สัตว์ย่อมติดอยู่ในหญิงนี้
บทว่า ตโป ความว่า เป็นชื่อของอินทรีย์สังวร ธุดงคคุณ และ ทุกกรกิริยา แต่ในที่นี้ยกเว้นทุกกรกิริยาเสีย จึงสมควรเป็นปฏิปทาที่เผากิเลสแม้ทั้งหมด
บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ เมถุนวิรัติ ดังนี้แล
จบ อรรถกถาอุปปถสูตรที่ ๘