เมตตา ๓๓ - ควรบูชา พระอรหันต์ หรือ พระพรหม - พรหมเทวสูตร
ถ้าเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ก็จะรู้ว่าควรบูชา...พระอรหันต์
ถ. ในเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น เจ้าที่ พระภูมิ พระพรหม ท่านเหล่านี้มีจริงหรือ ช่วยได้จริงหรือ
ส. ถ้าถามว่า กำเนิดอื่น ภพอื่น ซึ่งเป็นเทพตามสถานที่ต่างๆ ที่เรียกว่า เจ้าที่ก็ดี พระภูมิก็ดี พระพรหมก็ดี มีจริงหรือ คำตอบก็คือ กำเนิดต่างๆ นอกจากกำเนิดของมนุษย์มีจริงตามควรแก่เหตุปัจจัย ถ้าเกิดเป็นเทพก็เป็นผลของกุศลธรรมเป็นกำเนิดที่สูงกว่ามนุษย์ ถ้าเกิดเป็นพรหมก็ต้องเป็นผลของอัปปนาสมาธิคือการเจริญสมถภาวนาจนถึงขั้นฌานโดยไม่เสื่อม คืออัปปนาสมาธิหรือฌานจิตนั้นเกิดก่อนจุติจิต จึงเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในพรหมภูมิ พรหมบุคคลจึงมีจริง
แต่ที่กล่าวว่าเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายนั้น ทำไมจึงเข้าใจว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อทุกคนมีกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วเป็นของของตนเองเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แต่ละบุคคลมีทุกข์ สุขต่างกัน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสต่างกัน ถ้าไม่มีกรรมซึ่งได้กระทำแล้วเป็นเหตุเป็นปัจจัย สภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้ก็จะเกิดปรากฏไม่ได้
คำถามที่ว่า เจ้าที่ก็ดี พระภูมิก็ดี พระพรหมก็ดี ช่วยคนได้จริงหรือ? ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง ฉะนั้น สุข ทุกข์ ฯลฯ ที่แต่ละบุคคลได้รับจึงย่อมเป็นไปตามกรรมของแต่ละบุคคล ท่านผู้หนึ่งได้เล่าเรื่อง ที่เกิดกับท่านให้ฟังว่า วันหนึ่งท่านขับรถไปกับลูกชายเล็กๆ รถเกิดตกลงไปข้างทาง ทันทีนั้น รถที่ตามหลังมาซึ่งเป็นรถจี๊ปที่มีอุปกรณ์พร้อมก็จอดแล้วช่วยฉุดรถขึ้นจากข้างทาง ฉะนั้นบุญ คือกุศลกรรมจึงเป็นเหมือนญาติสนิทซึ่งติดตามคุ้มครองรักษา หรือแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ท่านผู้นั้นก็ระลึกได้ว่า ถ้าอกุศลกรรมให้ผล ก็คงจะต้องคอยไปอีกนานกว่าจะมีผู้ช่วยเหลือได้ จะเห็นได้ว่าเมื่อกุศลกรรมให้ผลก็ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ได้ การที่มนุษย์หรืออมนุษย์จะช่วยเหลือเกื้อกูลบุคคลใดได้นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมของบุคคลนั้นเองด้วย ถ้าเป็นโอกาสของกุศลกรรมที่บุคคลนั้นได้กระทำแล้วมนุษย์หรืออมนุษย์ย่อมช่วยเกื้อกูลได้ แต่ถ้าเป็นโอกาสที่อกุศลกรรมจะให้ผลในขณะนั้นอย่างแน่นอน มนุษย์หรืออมนุษย์ก็ย่อมช่วยไม่ได้เลย
บางท่านก็บูชาพระพรหม โดยไม่รู้ว่าพระพรหมอยู่ที่ไหน เกิดเป็นพรหมได้อย่างไร และชีวิตของพระพรหม เป็นอย่างไร ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค พราหมณสังยุตต์ ปฐมวรรคที่ ๑ พรหมเทวสูตรที่ ๓
[๕๖๓] แสดงว่า การบูชาพระพรหมนั้นกระทำกันมาตั้งแต่ครั้งพระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานข้อความในพรหมเทวสูตร มีว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระ วิหารเชตวัน อารามแห่งท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
ก็สมัยนั้นแล บุตรแห่งนางพราหมณีคนหนึ่งชื่อพรหมเทวะ ออกบวชในสำนักของพระผู้มีพระภาค ครั้งนั้นแล ท่านพระพรหมเทวะเป็นผู้เดียวหลีกออกแล้ว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ไม่นานเท่าไรก็ได้กระทำให้แจ้งประโยชน์ ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องประสงค์อันนั้นอย่างยอดเยี่ยม เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ เพราะรู้แจ้งชัดเองในปัจจุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ท่านได้ทราบว่าชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกมิได้มี ก็แหละท่านพระพรหมเทวะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์แล้ว ฯ
ครั้งนั้นแล ท่านพระพรหมเทวะ ในเวลารุ่งเช้า นุ่งห่มแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ท่านเที่ยวบิณฑบาตรในนครสาวัตถีตามลำดับตรอก เข้าไปยังนิเวศน์แห่งมารดาของตนแล้ว
ก็สมัยนั้นแล นางพราหมณีผู้มารดาของท่านพระพรหมเทวะถือการบูชาบิณฑะแก่พรหมมั่นคงเป็นนิตย์
ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหมคิดว่า นางพราหมณีผู้มารดาของท่านพระพรหมเทวะนี้แล ถือการบูชาบิณฑะแก่พรหมมั่นคงเป็นนิตย์ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปหานางแล้วทำให้สลดใจ ฯ
ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมหายไปในพรหมโลก ปรากฏแล้วในนิเวศน์ของมารดาแห่งท่านพระพรหมเทวะ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าแล้ว หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออกแล้ว ฉะนั้น
ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหมลอยอยู่ในอากาศ ได้กล่าวกะนางพราหมณีผู้มารดาของท่านพระพรหมเทวะ ด้วยคาถาทั้งหลายว่า
ดูกร นางพราหมณี ท่านถือการบูชาด้วยก้อนข้าวแก่พรหมใดมั่นคงเป็นนิตย์ พรหมโลกของพรหมนั้นอยู่ไกลจากที่นี้
ดูกรนางพราหมณี ภักษาของพรหมมิใช่เช่นนี้ ท่านไม่รู้จักทางของพรหม ทำไมจึงบ่นถึงพรหม ฯ
ดูกร นางพราหมณี ก็ท่านพระพรหมเทวะของท่านนั้น เป็นผู้หมดอุปธิกิเลส ถึงความเป็นอติเทพ ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกังวล มีปกติขอไม่เลี้ยงดูผู้อื่น ท่านพระพรหมเทวะที่เข้าสู่เรือนของท่านเพื่อบิณฑบาต เป็นผู้สมควรแก่บิณฑะที่บุคคลพึงนำมาบูชา ถึงเวท มีตนอันอบรมแล้ว สมควรแก่ทักษิณาทานของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ลอยบาปเสียแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว เป็นผู้เยือกเย็นกำลังเที่ยวแสวงหาอาหารอยู่ ฯ อดีต อนาคต ไม่มีแก่ท่านพระพรหมเทวะนั้น ท่านพระพรหมเทวะเป็นผู้สงบระงับ ปราศจากควัน ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง วางอาชญาในปุถุชนผู้ยังมีความหวาดหวั่นและพระขีณาสพผู้มั่นคงแล้ว ขอท่านพระพรหมเทวะนั้นจงบริโภคบิณฑบาตอันเลิศที่สำหรับบูชาพรหมของท่าน ฯ
ท่านพระพรหมเทวะซึ่งเป็นผู้มีเสนามารไปปราศแล้ว มีจิตสงบระงับฝึกตนแล้ว เที่ยวไปเหมือนช้างตัวประเสริฐ ไม่หวั่นไหว เป็นภิกษุมีศีลดี มีจิตพ้นวิเศษแล้ว ขอท่านพระพรหมเทวะนั้น จงบริโภคบิณฑบาตอันเลิศที่สำหรับบูชาพรหมของท่าน ฯ
ท่านจงเป็นผู้เลื่อมใสในท่านพระพรหมเทวะนั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ตั้งทักษิณาไว้ในท่านผู้เป็นทักขิเณยยบุคคล ดูกร นางพราหมณี ท่านเห็นมุนีผู้มีโอฆะอันข้ามแล้ว จงทำบุญอันจะนำความสุขต่อไปมาให้ ฯ
ท่านจงเป็นผู้เลื่อมใสในท่านพระพรหมเทวะนั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ตั้งทักษิณาไว้ในท่านผู้เป็นทักขิเณยยบุคคล ดูกร นางพราหมณี ท่านเห็นมุนีผู้มีโอฆะอันข้ามแล้ว ได้ทำบุญอันจะนำความสุขต่อไปมาให้แล้ว ฯ
ควรบูชาพระอรหันต์หรือพระพรหม?
ถ้าเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ก็จะรู้ว่าควรบูชาพระอรหันต์ซึ่งเป็นผู้ดับกิเลสหมดสิ้น กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี คือไม่มีกิจที่จะต้องทำเพื่อดับกิเลสอีก เพราะกิเลสทั้งหมดดับสิ้นเป็นสมุจเฉทแล้ว แม้ว่าบุตรของนางพราหมณี ได้บรรลุถึงความเป็นอรหันต์แล้ว แต่นางพราหมณีก็ยังคงบูชาพรหมโดยความเคารพ ถวายข้าวอย่างมั่นคงเป็นนิจ พรหมโลกกับมนุษย์โลกห่างกันไกลแสนไกล พระพรหมจริงๆ ไม่ได้เสวยหรือบริโภคข้าวซึ่งคนบูชาเลย ข้าวที่บูชานั้นไม่ใช่อาหารของพรหม นางพราหมณีเป็นผู้ที่ไม่รู้จักทางของพรหม แต่ก็ถวายข้าวพรหมและบ่นถึงพรหมด้วยความไม่รู้
..จากหนังสือ "เมตตา" เปิดอ่าน --> คลิกที่นี่
จากเรื่องเล่าที่รถตกข้างทางแล้วมีคนมาช่วย ทำให้นึกถึงเรื่องของตนเอง เย็นวันหนึ่งหลังเลิกงานแล้วฝนตกหนักมาก ก็เลยนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีหนึ่งซึ่งคนรอรถเยอะมาก รถก็ติดมากด้วย ปกติรถแท็กซี่หรือรถเมล์ก็ไม่ค่อยมี ยังนึกอยู่ในใจว่าจะกลับยังไงดี พอเดินลงมาจากสถานีรถไฟฟ้า มายืนหลบฝนอยู่ใต้ทางขึ้นรถไฟฟ้าได้แป๊ปเดียว ก็มีรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างมาจากไหนไม่ทราบ มาถามว่าจะไปไหน แล้วเขาก็พาไปส่งที่บ้าน ซึ่งตรงนั้นก็มีคนยืนอยู่ด้วยกันหลายคน แต่ก็มาถามเรา ยังคิดเลยว่าวันนั้นโชคดีมาก ถึงจะเปียกแต่ก็ถึงบ้านได้เร็วค่ะ