น้ำปานะ 3
น้ำปานะคือ น้ำผลไม้ ที่ทรงอนุญาตไว้ มี ๘ ชนิด และอื่นๆ ตามสมควร เมื่อคั้นเอาเฉพาะน้ำกรองไม่ให้มีกาก พระภิกษุรับประเคนแล้วฉันได้ตลอดวันและคืนหนึ่ง
[เล่มที่ 7] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 152
พระพุทธานุญาตน้ำอัฏฐบาน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำปานะ ๘ ชนิด คือ น้ำปานะทำด้วยผลมะม่วง ๑ น้ำปานะทำด้วย ผลหว้า ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยไม่มี เมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะซาง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลจันทน์หรือองุ่น ๑ น้ำปานะทำด้วยเง่าบัว ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑. ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะซาง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำอ้อยสด.
คำอธิบายจากอรรถกถา
สาลุกปานะ นั้น ได้แก่ น้ำปานะที่เขาคั้นเง่าอุบลแดงและอุบลเขียว เป็นต้นทำ. ผารุสกปานะ นั้น ได้แก่ น้ำปานะที่ทำด้วยผลมะปราง อย่างอัมพปานะ. อัฏฐบานเหล่านี้ เย็นก็ดี สุกด้วยแสงอาทิตย์ก็ดี ย่อมควร.สุกด้ายไฟไม่ควร.
จากข้อความดังกล่าว และข้อความเกี่ยวกับน้ำปานะ ๑-๒ ก่อนหน้านี้ ต้องอาศัย การตีความ บางที่ก็งง งงจากการปฏิบัติของพระที่เคร่งในศีล ในพระไตรปิฏก บางที่ ก็เข้าใจ สรุปก็คือยังไม่กระจ่าง ๑๐๐% จึงใคร่ขอสอบถามธรรมจากท่านผู้รู้ธรรม และสหายธรรมทุกท่านครับ
๑. อัมพปานะ คือน้ำผลไม้อะไรครับ? กัปปิยะคืออะไรครับ?
๒. ด้วยข้อความสุกด้วยไฟไม่ควร อย่างกรณี ภิกษุ นำใบชาและใส่น้ำร้อนเพื่อชงชา กรณีเช่นนี้ฉันไม่ได้ใช่มั๊ยครับ? แต่ผมเห็นพระชงชาตอนเย็น ไม่รู้สมควรหรือไม่? แต่ท่านก็เคร่งในพระไตรปิฏกนะครับ ก็เลยสับสน หรือว่าการสุกด้วยไฟต้องใช้สำหรับ อัมพปานะ เท่านั้นครับ?
๓. อย่างน้ำเก๊กฮวย ก็ถวายเป็นน้ำปานะไม่ได้ใช่มั๊ยครับ (เพราะต้องต้ม)
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาบุญในธรรมทานสำหรับผู้ตอบทุกท่านครับ
- อัมพปานะ คือน้ำมะม่วง กัปปิยะ คือสมควร พระภิกษุฉันได้
- การชงชายังเป็นที่สงสัยของพระวินัยธรอยู่ว่าควรหรือไม่ ทางที่ดีอย่าทำเป็นดีที่สุด
- น้ำเก๊กฮวย ถวายเป็นน้ำปานะไม่ได้ เพราะต้องผ่านการต้ม
ขอเรียนถามอีกหัวข้อครับ
๑. พอดีได้ไปทำบุญที่วัดป่าที่โคราช พระท่านก็ศึกษาพระไตรปิฏกเช่นกัน ผมก็ ศึกษาเช่นกัน พระท่านบอกว่าตามพระวินัย หากพระไม่รู้ว่าน้ำปานะนั้น ผ่านการต้ม หรือไม่ก็ฉันได้ ใช่หรือไม่ครับ อยู่ในเนื้อหาพระไตรปิฏกหน้าไหนครับ?
๒. อาหารที่เราจะมาถวายหากพระท่านรู้ล่วงหน้า เช่น เรามาบอกท่านว่า พรุ่งนี้ผมจะนำแกงไก่มาถวาย พระท่านจะรับการถวายแต่ไม่สามารถฉันใช่หรือไม่ครับ และมีแสดงอยู่ในหน้าไหนครับ
ต้องขอรบกวนนะครับ ที่ถามว่าอยู่ในเนื้อหาหน้าไหน เพราะผมจะเก็บข้อมูลที่ ได้เรียบเรียงเป็นสารบัญให้ผู้อื่นได้รับรู้เช่นกันครับ โดยเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อนครับ และค่อยเป็นเนื้อหาพระไตรปิฏกเต็มๆ ครับ
ขออนุโมทนาครับ
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตเนื้อบริสุทธิ์ ๓ ส่วน
๑. ไม่เห็นเขาฆ่าเจาะจงเพื่อตน
๒. ไม่ได้ยินเขาสั่งฆ่า
๓. ไม่สงสัยหรือรังเกียจเนื้อนั้น (ไม่สงสัยว่าเขาฆ่ามาเจาะจงเราโดยเฉพาะ) ถ้าเราบอกว่าพรุ่งนี้จะชื้อแกงไก่มาถวายเป็นอาหารสำเร็จรูป ท่านก็ฉันได้ แต่ถ้า เราบอกว่าจะทำแกงไก่มาถวาย ถ้าท่านสงสัยว่า เราฆ่าไก่เจาะจงมาถวาย ท่านรังเกียจก็ไม่ฉันดีกว่าค่ะ