เมตตา ๓๖ - เจ้ากรรมนายเวรเป็นใคร?
การคิดว่ามีเจ้ากรรมนายเวรจึงเป็นความคิดที่เลื่อนลอย และการอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรก็ย่อมเลื่อนลอยไม่ประกอบด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตนเป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ
ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน ซึ่งเท่ากับทุกคนเป็นเจ้าของกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว แลกเปลี่ยนกรรมกันไม่ได้เลย สมบัติอื่นใดทั้งหมดยังไม่ใช่ของของใครโดยแท้จริง เพราะย่อมวิบัติสูญหาย ถูกลักขโมยไปได้ แต่กรรมที่แต่ละคนได้กระทำแล้วนั้นทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ไม่มีผู้ใดสามารถลักขโมยไปได้ แม้ไฟ ลม แดดก็กระทบสัมผัสไม่ได้เลย ไม่มีที่ใดที่จะเก็บสมบัติได้ปลอดภัยเท่ากับที่เก็บของกรรม เพราะกรรมทุกกรรมเก็บสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะ
เมื่อกรรมใดได้กระทำแล้ว ก็เป็นเหตุให้เกิดผล คือวิบากแก่ผู้กระทำกรรมนั้นตามควรแก่โอกาสของกรรมนั้นๆ ผู้กระทำกรรมจึงเป็นผู้รับผลของกรรมโดยมีกรรมเป็นกำเนิด คือเป็นเหตุให้เกิดในสุคติภูมิ หรือทุคติภูมิ เมื่อเกิดมาแล้วก็มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เมื่อถึงโอกาสของอกุศลกรรมให้ผล ขณะนั้นก็มีอกุศลกรรมเป็นพวกพ้อง คือมีความวิบัติต่างๆ เกิดขึ้นแม้จากญาติมิตรสหายบริวารและคนอื่นๆ และเมื่อถึงโอกาสของกุศลกรรมให้ผลก็ตรงกันข้ามกับผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงมีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
สุข ทุกข์ต่างๆ ที่ทุกคนได้รับจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้น ดูเสมือนบุคคลอื่นเป็นผู้กระทำให้ เช่น การเบียดเบียนประทุษร้ายต่างๆ แต่ถ้าไม่มีอกุศลกรรมของตนเองนั้นเป็นเหตุแล้ว ใครจะเบียดเบียนประทุษร้ายได้ไหม และเมื่อเป็นโอกาสของอกุศลกรรมให้ผล ถึงแม้ว่าไม่มีใครมาเบียดเบียนประทุษร้ายเลย ก็ย่อมได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นๆ เช่น มีดบาด หก-ล้ม ป่วยไข้ น้ำท่วม ไฟไหม้ เป็นต้น ฉะนั้นทำไมจึงคิดว่า มีเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ป่วยไข้ทุกข์ยากต่างๆ
การอุทิศส่วนกุศลที่ได้กระทำแล้ว ให้ผู้อื่นรู้และอนุโมทนานั้น เป็นกุศลประเภททาน คือเป็นปัตติทานมัย เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพราะขณะที่อุทิศส่วนกุศลนั้นจิตประกอบด้วยเมตตา หวังเกื้อกูลให้ผู้ที่รับรู้เกิดกุศลจิตอนุโม-ทนา เพื่อผู้อนุโมทนาจะได้อานิสงส์ของกุศลที่ตนเองอนุโมทนา คือยินดีด้วยในกุศลที่ผู้อื่นอุทิศให้นั้น แต่ไม่ควรอุทิศให้เพราะกลัวว่าผู้ใดจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่สามารถจะทำให้ป่วยไข้ทุกข์ยากได้
ถ้าฆ่าใครแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้นั้น การอุทิศส่วนกุศลจะทำให้การฆ่าซึ่งเป็นอกุศลกรรมนั้นไม่ให้ผลได้หรือ ฉะนั้น จึงควรพิจารณาว่า เพราะเหตุใดจึงอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร รู้หรือว่าใครเป็นเจ้ากรรมอะไรๆ ที่ได้กระทำไปแล้วบ้างในสังสารวัฏฏ์
ท่านที่เชื่อว่ามีเจ้ากรรมนายเวรนั้น คิดว่าเจ้ากรรมนายเวรกับท่านมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง เมื่อท่านเข้าใจว่าท่านมีเจ้ากรรมนายเวร ท่านก็ต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นด้วย แต่เมื่อท่านไม่ผูกโกรธคนอื่นแล้วท่านยังจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นอยู่หรือเปล่า และในเมื่อชาตินี้ ท่านจำกรรมที่ท่านได้กระทำต่อผู้อื่น และที่ผู้อื่นกระทำต่อท่านในชาติก่อนๆ ไม่ได้แล้ว ใครจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร ในเมื่อท่านจำไม่ได้ว่าท่านเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครบ้างฉันใด ผู้อื่นก็จำไม่ได้เหมือนกันฉันนั้นการคิดว่ามีเจ้ากรรมนายเวรจึงเป็นความคิดที่เลื่อนลอย และการอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรก็ย่อมเลื่อนลอยไม่ประกอบด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน
ทุกคนได้เคยกระทำกรรมมาแล้วมากมายในอดีตอนันตชาติเกินแสน-โกฏิกัปป์ เมื่อเกิดแล้วตาย เกิดอีกแล้วตาย ก็เปลี่ยนสภาพความเป็นบุคคลก่อนๆ โดยสิ้นเชิง แทนที่จะคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรในชาติก่อนๆ ชาตินี้ไม่ควรจะผูกโกรธ อาฆาต พยาบาท ประทุษร้ายเบียดเบียนใคร เพื่อที่จะได้ไม่กระทำเวรภัยตอบกันด้วยความโกรธ จะเป็นประโยชน์กว่าไหม เวลาโกรธหรือผูกโกรธหรือคิดจะประทุษร้ายเบียดเบียนผู้ใด ถ้าคิดว่าผู้นั้นเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร คือเป็นผู้ที่เคยถูกท่านเบียดเบียน ประทุษร้ายมาแล้วในชาตินี้หรือในชาติก่อนๆ ก็ควรจะระงับเวรโดยการไม่จองเวร คือระงับความโกรธความผูกโกรธ และการกระทำซึ่งจะเกิดจากความโกรธนั้น ด้วยการอบรมเจริญเมตตาให้เพิ่มมากขึ้นๆ จะดีกว่าไหม
การอบรมเจริญเมตตาต่อบุคคลที่พบเห็นกันในชาตินี้ จะดีกว่าการอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่ไม่เห็นและไม่รู้จักเลยไหม
..จากหนังสือ "เมตตา" เปิดอ่าน --> คลิกที่นี่