ความอดทนกับความอ่อนโยน
๑. ความอดทนเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
๒. ความอ่อนโยนเป็นอกุศลได้ไหม
๓. ถ้าจะอบรมเจริญความอดทนและความอ่อนโยนในทางกุศลให้เกิด ต้องอาศัยอะไร
๑. ความอดทนเป็นกุศลก็มี หรือเป็นอกุศลก็มี
๒. ความอ่อนโยนเป็นอกุศลก็มี เช่น จิตเป็นอกุศลอยากได้ของ พูดด้วยวาจาอ่อนหวาน
๓. ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรม จนเข้าใจ
อาศัยการฟังธรรมในชุดบารมี ๑๐ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายไว้ดีมากค่ะ
ขอบูชาคุณพระรัตนตรัย
๑. ความอดทนเป็นอกุศลหรือกุศล ก็ได้ เช่น อดทนที่จะทำงานเพื่อได้เงิน ไม่บ่นเป็นกุศลก็ได้ อดทนต่อหนาวร้อนเพราะรู้ว่าเป็นธรรม หรืออดทนต่อคำพูดคนอื่น เพราะเห็นโทษของความโกรธ ดังนั้นจึงอยู่ที่จิตไม่ใช่การแสดงออกภายนอก ความอดทนจึงมีปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริงเป็นเหตุให้เกิดความอดทนที่เป็นกุศล
๒. ความอ่อนโยน ถ้าเป็นจิตที่อ่อนโยนเป็นกุศล แต่การแสดงออกที่เป็นความอ่อนโยน ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าเป็นกุศล ดังข้อความในพระไตรปิฎกเรื่องความอ่อนโยน
๓. ทุกอย่างต้องมีเหตุจึงเกิดขึ้นได้ กุศลธรรมต่างๆ มีความอ่อนโยน เมตตา และขันติก็ต้องมีเหตุคือ การฟังพระธรรมจนปัญญาเจริญขึ้นเมื่อปัญญามากขึ้น กุศลธรรมประการต่างๆ ก็เจริญขึ้นด้วย
ความอ่อนโยน
[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 341
อรรถกถา เมตตสูตร
อนึ่ง เป็นผู้ว่าง่ายอย่างใด ก็พึงเป็นผู้อ่อนโยนอย่างนั้น . บทว่า มุทุ ความว่า ภิกษุถูกพวกคฤหัสถ์ใช้ในการเป็นทูตไปรับส่งข่าว เป็นคนก็ไม่ทำตาม อ่อนแอในกิจนั้น เป็นผู้แข็งกร้าวเสีย พึงเป็นผู้อ่อนโยนในวัตรปฏิบัติ และพรหมจรรย์ทั้งสิ้น ทนต่อการไม่ต้องรับใช้ในกิจนั้น เหมือนทองที่ช่างตกแต่งด้วยดี. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มุทุ ได้แก่เป็นผู้ไม่มีหน้าสยิ้ว คือเป็นผู้มีหน้าเบิกบาน เจรจาแต่คำที่ให้เกิดสุข ต้อนรับแขก พึงเป็นเหมือนผู้ลงสู่ ท่าน้ำที่ดีโดยสะดวก
ขอเรียนถามท่านวิทยากรต่อ...
๑. ขณะที่จิตอยากได้ของแล้วพูดวาจาอ่อนหวาน สังเกตอาการอื่นๆ นอกจากวาจา ได้ไหมครับ
๒. ถ้าคนที่เขามีปกติ พูดจาไพเราะ ไม่พูดคำหยาบ แต่ก็ไม่ค่อยจริงใจ เป็นเพราะอะไร ครับ
ขอเรียนถามคุณ take care ว่า...
๑. ผู้ไม่มีหน้าสยิ้ว ปุถุชนผู้ที่ไม่ทำหน้าอย่างนี้เลย จะมีอยู่ไหมครับ
๒. แล้วผู้ที่ไม่มีหน้าสยิ้วเลย มีแต่หน้าเบิกบานตลอด คือใครครับ
ขณะที่อยากได้ของคนอื่นแล้วพูดเพราะ นอกจากทางวาจา ทางกายก็ได้ เช่น เห็น อาหารของคนอื่น ก็มองด้วยความอยากรับประทานบ้าง เป็นต้น คนที่เขาพูดเพราะ แต่ไม่จริงใจ ก็แล้วแต่การสะสม อุปนิสัย แต่ถ้าเขาศึกษาธรรม ก็จะทำให้เขาเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น คือพูดเพราะ และจริงใจด้วยค่ะ ผู้ที่ไม่มีหน้าสยิ้ว คือ พระอนาคามีและพระอรหันต์
ขอบูขาคุณพระรัตนตรัย
๑. การแสดงออกทางกาย วาจาย่อมเกิดจากจิต ข้อนี้เป็นธรรมดา แต่การจะรู้จิตของตนหรือบุคคลใดนั้น ประการที่สำคัญที่สุด แม้จิตของเราเองก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้ในสภาพจิตที่เกิดขึ้นกับเราเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยากเพราะต้องเป็นปัญญาและจิตเกิดดับ เร็วมากแม้จิตของผู้อื่นก็เช่นกัน การแสดงออกมาทางกาย วาจา บางครั้งเหมือนเราจะเดารู้ถูก แต่ต้องเป็นเรื่องของปัญญาและรู้จิตของผู้อื่นได้ ไม่ใช่อาศัยเพียงกาย วาจา ที่แสดงออกเท่านั้นดังเช่น ถ้าใครกิริยามารยาทดี ใครจะรู้ได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ดังนั้นตัดสินภายนอกไม่ได้ ต้องมีปัญญาด้วย ดังข้อความในพระไตรปิฎก
[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 475
๒. ฐานสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกันและศีลนั้น พึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการอยู่จึงจะรู้ ไม่มนสิการอยู่หารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่
๒. เพราะกิเลสนั่นเอง ไม่ใช่อย่างอื่น สะสมมาที่จะพูดวาจาดี แต่ก็มีกิเลส
๓. เรื่อง ผู้ที่มีหน้าสยิ้ว ปุถุชนผู้ที่จะไม่ทำหน้าสยิ้วเลย ไม่มี เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ต้องทำหน้าสยิ้ว เพราะการทำหน้าสยิ้วเกิดจากโทสมูลจิต เช่น การที่ขอทานมาขอ บางคนก็ไม่พอใจ ทำหน้าสยิ้ว เป็นต้นและ ผู้ที่จะไม่ทำหน้าสยิ้วคือ ผู้ที่ดับโทสะหมดคือ พระอนาคามี เป็นต้นไป แต่ไม่ได้หมายความว่า พระอนาคามีจะยิ้ม หน้าตาเบิกบานตลอดเวลา เฉยๆ ก็มี เพียงแต่ไม่มีทางที่จะหน้าสยิ้ว ดังข้อความในพระไตรปิฎก
[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 453
อรรถกถาปูรฬาสสูตร
บทว่า ภกุฏึ วินยิตฺวาน พึงกำจัดความสยิ้วหน้า คนปัญญาทรามบางคน เห็นยาจกแล้วทำหน้าสยิ้ว พึงกำจัดความสยิ้วหน้านั้นเสีย อธิบายว่า เป็นผู้มีหน้าผ่องใส. หน้าสยิ้วหมายถึงเป็นโทสมูลจิต
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 492
ดูเอาเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อพี่ชายของผู้นี้ตายไปแล้วอาการแม้สักว่าหน้าสยิ้วก็ไม่มี เขามีใจแข็งกระด้างมาก เห็นจะอยากให้พี่ชายตายด้วยคิดว่า เราเท่านั้นจักได้ใช้สอยทรัพย์สมบัติ ลักษณะของหน้าสยิ้ว
[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 95
บทว่า ภากุฏิกา หน้าสยิ้ว คือ ทำหน้าสยิ้วด้วยการเห็นหน้ายู่ยี่. อธิบายว่า มีหน้าเบี้ยวบูด.