บุคคลผู้ไม่ขวนขวาย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑
มหัทธนสูตร
เทวดากล่าวว่า กษัตริย์ทั้งหลายมีทรัพย์มาก มีสมบัติมาก ทั้งมีแว่นแคว้น ไม่รู้จักพอ ในกามทั้งหลาย ย่อมแข่งขัน ซึ่งกันและกัน เมื่อกษัตริย์ทั้งหลายนั้น มัวขวนขวาย ลอยไปตามกระแสแห่งภพ บุคคลพวกไหน ไม่มีความขวนขวายละความโกรธ และความทะเยอทะยานเสียแล้วในโลก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุคคลทั้งหลาย ละเรือน ละบุตร ละปศุสัตว์ที่รัก บวชแล้ว กำจัดราคะ โทสะ และอวิชชา เสียแล้ว เป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส บุคคลพวกนั้น เป็นผู้ไม่ขวนขวายในโลก
เข้าใจว่า ตราบใดยังเป็นปุถุชนอยู่ ย่อมยังมีความขวนขวายอยู่ เป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าจะขวนขวายไปในทางใด ด้วยเหตุใด มากน้อยเพียงใด
ถ้าจะต้องขวนขวายก็ขอให้ขวนขวายในการศึกษาธรรม การฟังธรรม การขวนขวายในกุศลทุกประการ การบำเพ็ญประโชยน์ จนกว่าจะถึงวันที่ไม่ต้องขวนขวายอีก คือวันที่สิ้นอาสวะกิเลสค่ะ
ทั้งขวนขวาย ทั้งเพียร ทั้งอดทน ในทางกุศล แต่ไม่เร่งรัดจัดแจงให้วันนี้รู้เท่านี้ พรุ่งนี้รู้เท่านั้น ถ้าเป็นวิริยะ ความเพียรที่เกิดร่วมกับโลภะ ก็ขวนขวายผิด เพียรผิด อดทนผิดแต่ถ้าเป็นสัมมาวายามะที่เกิดกับ ปัญญา ขณะนั้นขวนขวายถูก เพียรถูก อดทนถูก
ขออนุโมทนาครับ