การหลงยึดสภาพธรรมทั้งหลายว่า เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล
การหลงยึดสภาพธรรมทั้งหลายว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนั้นอุปมาเหมือนคนเดินทางในที่ซึ่งย่อมเห็นเหมือนกับว่า มีเงาน้ำอยู่ข้างหน้าแต่เมื่อเข้าไปใกล้ เงาน้ำก็หายไป เพราะแท้จริงหามีน้ำไม่ เงาน้ำที่เห็นเป็นมายา เป็นภาพลวงตาฉันใด การเข้าใจผิดว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นตัวตนเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะความไม่รู้ เพราะความจำ เพราะความยึดถือก็ฉันนั้น…”
ธรรมมะ คือ ปรมัตถธรรม (ความจริงของจริงที่ปฎิเสธไม่ได้บังคับบัญชาไม่ได้) ถ้าไม่ขาดการฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาเห็นถูกปฎิบัติถูก สักวันต้องประจักสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง การเข้าใจด้วยปัญญาย่อมไม่ลืมเหมือนท่องจำแล้วปัญญาจะคมกล้าขึ้น รู้ชัด รู้เร็ว รู้จริง ว่าสภาพธรรมมะเกิดดับสลับเร็วมากสั้นมากๆ ทีละทางทีละขณะจิต ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นจนหลับ และตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น แข็งปรากฏ สว่างหรือมืด ได้ยินเสียง หรือเงียบ แข็งก็ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่รส ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่จำ ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล แข็งก็คือแข็ง ไม่ใส่ใจรูปร่างพญัชนะชื่อบัญญัติ เป็นปรมัตถ์ล้วนๆ วันทั้งวันปรากฏโลกคิดนึกบัญญัติ แต่โลกปรมัติเกิดขึ้นน้อยเดียว ในวันหนึ่งๆ จงใส่ใจในการฟังพระธรรมให้ดีแล้วค่อยๆ เข้า-ใจทีละเล็กละน้อย อย่ารีบด้วยความอยาก ค่อยๆ สะสมไป อย่าดูถูกก้านไม้ขีดไฟแค่ก้านเดียว เพราะก็เผาเมืองได้ทั้งเมือง ขอเป็นกำลังใจสหายธรรมทุกท่าน ครับ ผมก็จะไปฟังพระธรรมที่เชียงใหม่ให้ได้ แล้วจะกราบเท้าท่านอาจารย์สุจินด้วยตัวผมเอง แทนความขอบคุณที่ท่านเกื้อกูลให้ผมเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่บ้านธัมมะทุกท่านด้วยครับ