เพราะเหตุอันใดหนอ เรานี้พ่ายแพ้อกุศลอยู่ร่ำไป
ขออนุญาตนำคำถามของท่านจากกระทู้หมายเลข 5157 มาตั้งเป็นกระทู้ใหม่นะครับ
ถามครับ เพราะเหตุอันใดหนอ สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงทรงพระมหากรุณาคุณตรัสว่า กุศลมีกำลังมากกว่าอกุศล ทรงปรารภอะไรเป็นเหตุ ทรงจะสงเคราะห์สาวกด้วยเหตุใด ทรงกล่าวไว้ที่ใด เมื่อใด ที่ไหนหนอ จะมีบริบท สภาพแวดล้อมอย่างไร ที่จะให้เราเห็นเป็นอุทาหรณ์ให้ระลึก เปรียบเทียบถึงเหตุนั้นบ้างไหมหนอเพื่อเราจะได้ปิติ เตือนสติได้ ไม่ลืม ก็เรานี้พ่ายแพ้อกุศลอยู่ร่ำไป ไม่เห็นว่ากุศลจะชนะสักคราเลยหนอ
โปรดแสดงธรรมด้วยครับ
โดยสมาชิก : lichinda วันที่ : 07-11-2550
เรื่องของกำลัง (พละ) ตามหลักพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ มีธรรมที่เป็นพละทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล แต่สำหรับผู้ที่อบรมพละธรรมฝ่ายกุศล คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ย่อมมีกำลังมากกว่าฝ่ายอกุศล เพราะพละธรรมฝ่ายกุศลสามารถดับอกุศลได้ แต่สำหรับผู้ที่สะสมอบรมพละธรรมฝ่ายกุศลยังไม่เพียงพอ ย่อมถูกพละธรรมฝ่ายอกุศล ครอบงำ ย่ำยี อยู่เสมอ
[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 369
๒. ปฐมพลสูตร
ว่าด้วยพละ ๔
[๑๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พละ ๔ นี้ ฯลฯ คือ สทฺธาพลํ พละคือศรัทธา วิริยพลํ พละคือวิริยะ สมาธิพลํ พละคือสมาธิ ปญฺญาพลํ พละคือปัญญา ภิกษุทั้งหลาย นี้แล พละ ๔.
จบปฐมพลสูตรที่ ๒
ชื่อว่า สัทธาพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหวในอัสสัทธิยะ (ความไม่เชื่อ) แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้แล
สมาธิพลํ พละคือสมาธิ
ต้องเป็นเหตุให้ฝึกสมาธิหรือเปล่าคะ หรือว่า ขณะฟังพระธรรมก็มีสมาธิเป็นกำลังอยู่แล้ว
ขอคำอธิบายอีกทีค่ะ
ถ้ายังมีเรา - ก็แพ้ ถ้าถูกอกุศลวิตกครอบงำให้คิดหวั่นไหว ไม่มั่นคงในความเป็นธรรมะ - ก็แพ้ ทุกคนไม่อยากเป็นผู้แพ้ แต่หนทางนี้จะไม่มีใครชนะ ถ้าขาดการเจริญปัญญาให้เกิดความเห็นถูกว่า มีแต่สภาพธรรมะที่เกิดดับ ไม่มีเรา อกุศลกับกุศล เกิดกันคนละขณะ ไม่ใช่เกิดขณะเดียวกันแล้วสู้รบกัน ฝ่ายไหนจะเกิดร่วมกับจิตในขณะหนึ่งๆ ได้ก็เป็นเรื่องของปัจจัยและการสะสม แต่เราศึกษาพระธรรมเพื่อให้เข้าใจว่าอกุศลที่สั่งสมมามีมาก จึงมีเหตุที่จะทำให้อกุศลเกิดมากซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของอกุศล แต่จะไม่ธรรมดา ถ้ายังไม่รู้ และขาดการเข้าใจความจริง
จริงแรก จากการศึกษาขั้นปริยัติที่ต้องยอมรับ คือ ความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงสั่งสมมามาก และที่สำคัญ อนุสัยกิเลสก็ยังไม่ได้ดับ ยังมีอยู่เต็ม ยังไม่หายไปไหน ยังตามนอนเนื่องอยู่ในจิตทุกดวง เป็นเชื้อร้ายที่ฆ่าไม่ได้หากขาดปัญญาและกว่าแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา ก็ถูกกิเลสหลอกนับครั้งไม่ถ้วนจนจำมั่นว่ามี "ตัวเรา" ด้วยความไม่รู้ จึงหลงกระทำกรรมให้ วนเวียน ท่องไปในวัฏฏะ เกิดมาชาตินี้ ก็ต้องมารับผลของกรรมที่ได้กระทำลงไปในอดีต มาชอบสุข เกลียดทุกข์ ยึดมั่น ถือมั่น แล้วก็สร้างกรรมใหม่ สั่งสมเป็นวิบากข้างหน้า ซึ่งก็จะหนีไม่พ้น ต้องประสบกับสภาพธรรมแบบนี้อีก เพียงแต่ว่าหมดความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้เท่านั้น
จริงที่สอง ที่ต้องยอมรับคือ ปัญญาที่สั่งสมมามีน้อย ยังไม่มีกำลังพอที่จะดับกิเลส เป็นเพียงปัญญา ที่ปลุกให้ตื่นจากการหลับไหลในความมืดมานาน แต่ยังอยู่ในความมืดอยู่ ให้เพียงรู้สึกตัวว่า กิเลสยังมีอยู่ ไม่ใช่ธรรมดา แต่อย่างเหนียวแน่นทีเดียว และก็ยังมีปัจจัยให้เกิดได้ ยังมีปัจจัยให้หลงคิดผิดว่ายังมี "ตัวเรา" อยู่บ่อยๆ ได้
จริงที่สาม ที่ต้องยอมรับคือ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วทรงส่องทางสว่างให้เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งทางใจ นักคิด นักตรึกคนไหนก็ออกจากเกลียวแห่งทุกข์นี้ไม่ได้ และหลายชีวิตก็หลงกระทำกาละเพราะความไม่รู้ลงสู่อบาย เกิดๆ ตายๆ ทรมานแสนสาหัสมานานแสนนานแล้ว ควรที่จะหน่ายกับการเวียนเกิดเวียนตาย หลงอยู่แต่ในความทุกข์อยู่อย่างนี้ ด้วยการฟัง พระธรรมต่อไปเพื่อเจริญปัญญาครับ
นัตถิ ปัญญา สมา อาภา - แสงสว่างยิ่งกว่าปัญญาไม่มี