ทำอย่างไรดี !
ธรรมะเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น เมื่อพระธรรมเป็นเรื่องราวของความจริง จึงดูเสมือนว่าเป็นเรื่องง่าย แต่จริงๆ แล้ว พระธรรมใม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ที่มีคำกล่าวว่าทำไม่ได้นั้น หมายถึง ไม่มีสัตว์ บุคคล หรือตัวตนที่จะทำอะไร หรือบังคับควบคุมสิ่งใด เพราะธรรมะคือธรรมะและเป็นอนัตตา
เมื่อความจริงเป็นดังนี้แล้ว ผู้ที่ขาดการพิจารณาอาจคิดว่า เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็คงไม่ต้องทำอะไร ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามสบาย หาความสุขกับชีวิตในแต่ละวันก็พอ
ในความเป็นจริงนั้น แม้ไม่มีตัวตนที่จะทำอะไร แต่มีสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น “ทำ” กิจของตนของตนแล้วดับไปทันที ซึ่งสิ่งที่มีจริงที่ทำกิจของตนได้นี้ ก็มีทั้งสภาพที่เป็นคุณ เป็นโทษหรือไม่เป็นทั้งสอง ดังนั้นจึงควรมีความขวนขวายศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลาย พร้อมทั้งอบรมเจริญให้ความจริงที่เป็นคุณเกิดขึ้นทำกิจของตนบ่อยๆ เนืองๆ และขัดเกลาให้ความจริงที่เป็นโทษลดลง คลายลง โดยไม่ประมาท
อบรมและสั่งสมความเข้าใจให้ถูกต้อง
ถ้าคิดจะทำเมื่อไหร่ เมื่อนั้นกั้นทันที
ด้วยความเห็นผิดว่า ยังมีเรา
ธรรมะเป็นอนัตตา เกิดดับตามเหตุปัจจัย อบรมปัญญาให้ค่อยๆ รู้ความจริงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขออนุโมทนาและชื่นชมในรูปแบบและเนื้อหาที่นำเสนอ น่าสนใจและได้ความรู้ด้วย
ขออนุโมทนาสำหรับวิริยะในการคิดและหาหนทางที่สามารถเข้าใจธรรมะในรูปแบบที่น่าสนใจมาก (เพราะยังมีโลภะ และยังไม่สามารถดับได้) เพียงแต่เริ่มรู้จักหน้าตาของ "เขา" ในลักษณะต่างๆ บ้างเท่านั้น
ช่างมีความคิดเสกสรรปั้นแต่งสะกิดให้คิด ไม่ให้มัวประมาท เป็นกัลยามิตรที่คิดช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ขออนุโมทนา
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 9 โดย K
ธรรมะเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น เมื่อพระธรรมเป็นเรื่องราวของความจริง จึงดูเสมือนว่าเป็นเรื่องง่าย แต่จริงๆ แล้ว พระธรรมใม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่มีคำกล่าวว่า ทำไม่ได้นั้น หมายถึง ไม่มีสัตว์ บุคคล หรือตัวตน ที่จะทำอะไร หรือบังคับ ควบคุมสิ่งใด เพราะธรรมะคือธรรมะและเป็นอนัตตา เมื่อความจริงเป็นดังนี้แล้ว ผู้ที่ขาดการพิจารณาอาจคิดว่า เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็คงไม่ต้องทำอะไร ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามสบาย หาความสุขกับชีวิตในแต่ละวันก็พอ ในความเป็นจริงนั้น แม้ไม่มีตัวตนที่จะทำอะไร แต่มีสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น “ทำ” กิจของตนของตนแล้วดับไปทันที ซึ่งสิ่งที่มีจริงที่ทำกิจของตนได้นี้ ก็มีทั้งสภาพที่เป็นคุณ เป็นโทษ หรือไม่เป็นทั้งสอง ดังนั้น จึงควรมีความขวนขวาย ศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลาย พร้อมทั้งอบรมเจริญให้ความจริงที่เป็นคุณเกิดขึ้นทำกิจของตนบ่อยๆ เนืองๆ และขัดเกลาให้ความจริงที่เป็นโทษลดลง คลายลง โดยไม่ประมาท
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาครับ
อธิบายให้เข้าใจได้ดี ในเรื่อง ทำไม่ได้เพราะเป็นธรรม แต่ขอเสริมนิดนึง ย่อหน้าสุดท้าย ที่กล่าวว่า ดังนั้น จึงควรมีความขวนขวายศึกษาโดยไม่ประมาท จากคำกล่าวนี้ ก็คือ สภาพธัมมะอีกนั่นแหละ ที่ปรุงแต่งให้มีความเพียรที่จะฟังธรรม เพราะอะไร เพราะเห็นประโยชน์จากการฟังพระธรรม อันเนื่องมาจากการเข้าใจพระธรรมนั่นเอง ไม่มีเราที่เพียร ไม่มีเราที่ควรขวนขวาย ไม่มีตัวตนที่จะพยายามไม่ประมาท แต่เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง ทำให้เห็นประโยชน์ เป็นธรรมที่ทำหน้าที่ให้สนใจพระธรรม เป็นธรรมที่ทำหน้าที่ให้สติเกิดระลึกรู้สภาพธัมมะ เป็นธรรมที่ทำหน้าที่รู้ความจริง ไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้ บางครั้ง สติก็เกิด บางครั้งสติก็ไม่เกิด บางครั้งก็ประมาท (สติไม่เกิด) บางครั้งก็ไม่ประมาท (สติเกิด) เป็นธรรมทั้งนั้น ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล แม้แต่การขวนขวาย ประมาทหรือไม่ประมาท แต่เป็นธรรมและเป็นอนัตตา มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรม บังคับบัญชาไม่ได้
ขออนุโมทนาครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ความเข้าใจประการหนึ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมาก คือความเข้าใจที่ว่าโลกว่างเปล่า ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น ไม่ใช่โลกว่างเปล่าโดยไม่มีอะไรเลย แต่มีสิ่งที่มีจริงคือ ปรมัตถธรรมที่เป็นอนัตตา ปรมัตถธรรมแต่ละประการมีลักษณะ และกิจหน้าที่เฉพาะของตน สังขารธรรมเกิดขึ้นเมื่อปัจจัยทั้งหลายถึงพร้อมเพื่อทำกิจของตนและดับไปทันที แล้วสังขารธรรมอื่นก็เกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไปโดยนัยเดียวกัน ผู้ศึกษาธรรมไม่ควรลืมว่า พระธรรมเป็นคำสอนที่สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่ว่าจะ ศึกษาพระวินัย พระสูตรหรือพระอภิธรรม ก็คือคำสอนที่ทรงแสดงถึงความจริงในชีวิตประจำวันนั่นเอง ซึ่งเป็นธรรมะ ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ที่ทรงมีพระมหากรุณาคุณ แสดงธรรมอย่างต่อเนื่องตลอด ๔๕ พรรษาโดยนัยต่างๆ ทั้งที่ เป็นเรื่องราวของปรมัตถธรรมและที่เป็นเรื่องราวของสัตว์ บุคคล ก็เพื่ออนุเคราะห์ผู้ฟัง ให้เกิดความเข้าใจความจริง ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดมีโทษ ความเข้าใจจากการฟัง จะเป็นปัจจัยปรุงแต่ง ให้ธรรมะที่เป็นกุศลเกิดขึ้นทำกิจของตน โดยบังคับบัญชาไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ศึกษาจึงควรศึกษาอย่างต่อเนื่องและควรมีกัลยาณมิตรที่สามารถให้คำแนะนำ เกื้อกูลกันได้ในพระธรรม
ขอบคุณคุณแล้วเจอกัน ที่ได้กรุณาอธิบายเพิ่มเติมข้อความ ที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาคุณ k ด้วยเช่นกันนะครับที่ทำให้เข้าใจขึ้นครับ
ยิ่งเข้าใจพระธรรมมากขึ้น ก็จะเป็นผู้ที่ละเอียดมากขึ้น การใช้ภาษาก็จะละเมียดละไมมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับการสั่งสมของกุศลและอกุศลจิตเช่นกัน เรากำหนดตายตัวไม่ได้เลยครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ และขอเรียนถามเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นครับที่ว่า "สิ่งทั้งหลายเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน" เป็นแต่เพียงแนวทาง และเป็นเครื่องเตือนสติ ไม่ให้ออกนอกแนวทางนี้เท่านั้นใช่ไหมครับ เพราะการที่จะเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเป็นธรรมได้ คงต้องได้ฟังธรรมไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม มาอย่างมากมายแล้ว จึงจะเป็นสังขารปรุงแต่ง เกิดศรัทธาและมีเหตุผลในตัว ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นธรรม ลำพังเพียงแต่ได้ยินคำว่า สิ่งทั้งหลายเป็นธรรม หรือเห็นคำนี้สัก ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่สามารถเข้าใจจริงๆ ได้ว่า สิ่งทั้งหลายเป็นธรรมได้เลย
ผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
คำว่า สิ่งทั้งหลายเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่แค่เพียงพูดตาม แต่เกิดจากความเข้าใจจริงๆ จากขั้นการฟัง และความเข้าใจ (ปัญญา) จากคำพูดที่กล่าวมาก็มีหลายระดับ เช่น เพียงแค่เห็นด้วย ตามขั้นการฟัง หรือขั้นรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม เพราะธรรมมีในขณะนี้ แต่เราก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม เพียงแต่คิดนึกเอาว่าเป็นธรรม จนถึงความเข้าใจที่เป็นปัญญาที่สามารถดับความเห็นผิดจนหมดว่าเป็นเรา มีแต่ธรรม
ดังนั้น การเข้าใจคำว่า จึงต้องเริ่มจากขั้นการฟังก่อน แต่เพียงเพิ่งเริ่มฟัง ปัญญายังน้อยมากจึงยังไม่มั่นคงว่าเป็นธรรมจริงๆ จึงต้องฟังต่อไป จะนานเท่าไหร่ จะเข้าใจเมื่อไหร่ก็เป็นหน้าที่ของธรรมนั่นเองครับ และ เมื่อเข้าใจคำนี้ เพียงเบื้องต้นก็จะนำไปสู่ที่สุดและความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ นี้เอง ย่อมทำให้มั่นคงในหนทางนี้ คือระลึกสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่เป็นหน้าที่ของธรรม เป็นอนัตตา
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาทุกท่าน ที่แสดงให้เห็นว่า พระธรรมต่างไปจากหนังสือ ที่ขึ้นต้นชื่อเรี่องว่า How to ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
นอกจากการเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมะแล้ว จะต้องมีความเข้าใจแม้เป็นเพียงขั้นฟังด้วยว่า การศึกษาธรรมคือ ขณะนี้ ครับ ไม่ใช่ไปคิดถึงสิ่งที่ดับไปแล้ว หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ขณะนี้ธรรมะกำลังปรากฏ ทาง ตา หู ... ใจ เกิดดับทุกขณะเพราะเหตุ ปัจจัยแล้วก็ดับไป สภาพธรรมที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็ดับไปหมดแล้วไม่เหลือเลย ดังนั้นทุกขณะที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไรนั้น ไม่สามารถรู้ได้เลย ไม่ใช่ลักษณะเป็นแท่งเป็นก้อนอย่างที่จำอยู่อย่างนี้ จึงจะสามารถเข้าใจและละคลายความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน แม้ในขั้นฟัง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจอย่างนี้ต่อไปเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติสามารถ ระลึกรู้สภาพธรรมะในขณะนั้นได้ ครับ
สาธุ ... นึกว่าเพิ่งจะสวยช่วงนี้ ที่จริงสวยมาตั้งนานแล้ว
เห็นด้วยกับความเห็นที่ 21
เพราะกว่าจะเข้าใจคำว่า "ธรรม" ต้องรู้ที่มาที่ไป ปริยัติจึงจำเป็นต้องเรียนก่อน เพราะผู้เริ่มศึกษามีมาก พื้นฐานก็ต่างกัน ปัญญาก็น้อย แต่อย่างไรก็ขออนุโมทนา ในกุศลเจตนาของผู้ตั้งกระทู้