การแสวงหาการหลุดพ้นแบบไหนถึงไม่เรียกว่าบ้า
บ้าในการแสวงหาธรรมที่แท้จริง (หลุดพ้น) บ้าแบบหลงงมงาย ถือว่ายังไม่ละโลภะหรือไม่ แล้วการแสวงหาการหลุดพ้นแบบไหนถึงไม่เรียกว่าบ้า
เป็นการศึกษาตามลำดับ คือ ตั้งแต่ขั้นเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร
ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ตรวจสอบความรู้ดูว่าเข้าใจในสิ่งที่มีจริงในขณะนี้แล้วหรือยัง ต้องอาศัยการฟัง จึงสามารถที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้เป็นธรรมอย่างไร เช่น ในขณะนี้ซึ่งได้ยินเสียง เสียงมีแน่นอน แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้ ซึ่งเป็นนามธรรมและไม่มีรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้น เสียงก็ไม่ปรากฏ
สภาพรู้เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งต่างกับรูปธาตุ เพราะว่ารูปธาตุไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่นามธาตุไม่มีรูปร่าง นามธาตุเป็นธาตุซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงเป็นนามธาตุ นามธาตุ ได้แก่ จิต และ เจตสิก ในขณะนี้กำลังเกิดพร้อมกัน แล้วก็ดับพร้อมกัน ในขณะที่เสียงปรากฏ หมายความว่า ต้องมีธาตุรู้เสียง คือ ได้ยิน ถ้าไม่มีธาตุรู้ มีแต่เพียงรูป ไม่มีสัตว์ บุคคลในที่นี้เลย แม้ว่ามีเสียงในศาลา เสาก็ได้ยินไม่ได้พัดลมก็ได้ยินไม่ได้ อะไรๆ ก็ได้ยินไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่ธาตุรู้ ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะมีปรากฏในโลกได้ เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้น และต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏจึงเห็น จึงได้ยิน จึงได้กลิ่น จึงลิ้มรส จึงได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย จึงคิดนึกต่างๆ เป็นลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่เรา เป็นสภาพของนามธรรมคือ จิต และเจตสิก
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นที่จะอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ก็ต้องมีการศึกษาเรื่องของธรรมะ ให้เข้าใจจริงๆ ก่อนว่า ขณะนี้ทุกอย่างที่ปรากฏที่มีจริง เป็นธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ อย่าง คือ ..เป็นนามธรรม หรือ ...เป็นรูปธรรม
บ้าในการแสวงหาธรรมที่แท้จริง (หลุดพ้น) ... โลภะ
บ้าแบบหลงงมงาย ... โมหะและโลภะที่เกิดร่วมกับมิจฉาทิฏฐิ
แล้วการแสวงหาการหลุดพ้นแบบไหนถึงไม่เรียกว่าบ้า คือ การเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริง ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน จนกว่าจะรู้ทั่ว รู้ชัด แล้วค่อยๆ ละคลาย เป็นปัญญา ไม่บ้าและไม่วิปลาส
ที่เราเห็นเป็นสัตว์ บุคคล นี่ก็เป็นสัญญาวิปลาสแล้ว (บ้า) ก็ต้องอบรมปัญญาจนกว่าหมดกิเสลเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นก็ไม่บ้า
การแสวงหาโดยไม่เริ่มต้นที่การทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน (เห็นถูก ศรัทธาถูก) น่าจะมีโอกาสทำให้บ้าได้ การอยากหลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ เป็นความอยากที่ละเอียด เป็นโลภะ สังเกตได้ยาก เป็นโมหะเพราะเข้าใจว่าการแสวงหาอย่างลุ่มหลงเป็นเรื่องถูก
การนั่งสมาธิในปัจจุบันส่วนมากเป็นมิจฉาสมาธิ คือ สมาธิที่เกิดกับอกุศล ถ้าจิตใจไม่มั่นคง ฟุ้งซ่าน บางคนเข้าใจว่าตนเองไปเที่ยว นรก สวรรค์ ได้จากการนั่งสมาธิ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บ้า หรือเป็นโรคประสาท โรคจิตได้
คนที่เข้าใจธรรมะ แสวงหาปัญญา คือการหลุดพ้นด้วยการอบรมสติปัฏฐาน การแสวงหาปัญญาประเสริฐค่ะ
" การแสวงหาปัญญาประเสริฐ..."
แต่ถ้ารู้ว่าปัญญาคืออะไร แล้วจะไม่แสวงหา
อบรมเจริญปัญญาให้มีความรู้ถูก เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ๖ ทาง คือ เห็นทางตา ได้ยินทางหู ได้กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น รู้กระทบสัมผัสทางกาย และคิดนึกทางใจ โดยรู้ว่าเป็นธรรมะไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด
รู้ความจริงจึงไม่บ้า เพราะบ้ารู้ได้แค่ชื่อแต่ไม่รู้ความจริงว่าไม่มีใคร มีเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างเท่านั้น
อ้างอิงจากความเห็นที่ 3
วิปลาส น่าจะหมายถึง คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
ทุกวัน ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม คำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แสดงให้รู้ถึงสิ่งที่มีจริง ค่อยๆ อบรมเข้าใจความจริง เป็นหนทางที่จะพ้นจากความวิปลาสในวันหนึ่งเมื่อความเข้าใจถึงพร้อม
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และกราบขอบพระคุณคณะอาจารย์มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และกุศลจิตสหายธรรมทุกท่านค่ะ