พระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ทันที.......
อยากทราบว่า ที่ว่าพระพุทธเจ้าประสูติ แล้วเดินได้ทันทีนั้น มีในพระไตรปิฎกหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
[เล่มที่ ๗๓] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ ๖๙๘
พระโพธิสัตว์ทรงเหลียวแลดูทิศทั้ง ๑๐ ทิศ ไม่เห็นผู้ที่เสมือนกับพระองค์ จึงบ่ายพระพักตร์มุ่งสู่ทิศอุดร ทรงดำเนินไป ๗ ย่างก้าว. และเมื่อดำเนินไปก็ดำเนินไปบนแผ่นดินนั่นแหละ มิใช่ดำเนินไปทางอากาศ ไม่มีผ้า [ปกปิด] ดำเนินไป มิใช่มีผ้าดำเนินไป เป็นทารกอ่อนดำเนินไป มิใช่ทารกอายุ ๑๖ ขวบดำเนินไป แต่ปรากฏแก่มหาชนเหมือนดำเนินไปทางอากาศ เหมือนประดับตกแต่งพระองค์ และเหมือนมีอายุ ๑๖ ขวบ. แต่นั้น ย่างก้าวที่ ๗ ก็ทรงหยุด เมื่อทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส ดังนี้เป็นต้น ทรงเปล่งสีหนาท.
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
แสดงว่าพระพุทธเจ้า เมื่อประสูติออกจากครรภ์มารดาทรงเดินได้จริงใช่หรือไม่ อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ บางคนบอกว่าไม่เชื่อ (โดยเฉพาะแพทย์) เพราะเด็กที่เกิดมาจะเดินได้ต้องมีอายุประมาณ ๑ ขวบขึ้นไป
บุคคลผู้สะสมบุญญาธิการเพื่อการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีสิ่งที่พิเศษกว่าบุคคลอื่น ดังนั้นการที่พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรถ์พระมารดา แล้วทรงดำเนินได้เป็นเรื่องธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย (ชาติสุดท้าย) ดังข้อความในพระสูตร
เชิญคลิกอ่านที่นี่..
ลองอ่านคอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก ในหนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6 วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10585
เจ้าชายสิทธัตถะประสูติแล้ว ดำเนินได้ ๗ ก้าวจริงหรือ
ถ้าอ่านพระไตรปิฎกอย่างพินิจพิเคราะห์ "เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ที่ไม่ทั่วไปแก่ชนเหล่าอื่น คือ พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อลงสู่พระครรภ์แสงสว่างหาประมาณมิได้ปรากฏขึ้นในโลกทั้งปวง หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์แล้ว เทวดา ๔ องค์ ทำหน้าที่อารักขาในทิศทั้ง ๔ ไม่มีใครสามารถเบียดเบียนได้ พระโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์พระมารดา พระมารดาเป็นผู้มีศีล ๕ สมบูรณ์ พระโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์พระมารดา พระมารดามิได้ฝักใฝ่ในกามคุณในบุรุษ หลังจากเสด็จลงสู่พระครรภ์แล้ว พระมารดามิได้มีโรคเบียดเบียน มิได้ลำบากพระวรกาย สามารถมองเห็นพระกุมารในพระอุทรมีอวัยวะน้อยใหญ่ครบ พระมารดาให้กำเนิดพระโพธิสัตว์ ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ถ้วน ทศมาสผิดกับสามัญชนทั่วไปซึ่งอยู่ในครรภ์ ๘-๙ เดือน เมื่อพระมารดา จะมีพระประสูติกาล จะทรงยืนไม่นั่งหรือนอนเหมือนหญิงทั่วไป พระโพธิสัตว์ไม่เปรอะเปื้อนด้วยมลทินครรภ์ ทรงบริสุทธิ์หมดจด ดุจแก้วมณี วางอยู่บนผ้ากาศิกพัสตร์.....ในบัดดลที่ประสูติ พระโพธิสัตว์ประทับพระยุคลบาทบนแผ่นดิน บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร เสด็จดำเนินไป ๗ ก้าว ทรงเหลียวดูทิศทั้งปวงแล้วทรงเปล่ง "อาสภิวาจา" ว่า "เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก เราเป็นใหญ่ที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป"
ปรากฏการณ์พิเศษต่างๆ เหล่านี้ ท่านว่า เป็น "ธรรมดา" ของพระโพธิสัตว์ มิใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ก็ต้องไล่ต่อไปว่า พระโพธิสัตว์คือใคร พระโพธิสัตว์คือ บุคคลผู้บำเพ็ญบารมีจนเต็มเปี่ยมแล้ว พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจึงมีธรรมดาที่ไม่เหมือนคนอื่น เช่น เกิดมาแล้วพูดได้ เดินได้ทันที ไม่ใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์แต่อย่างใด เหมือนธรรมดาของนกย่อมบินได้ ธรรมดาของปลาอยู่ในน้ำทั้งวัน นานๆ จะโผล่ ขึ้นมาหายใจที ฉันใดฉันนั้น
กินเนสบุ๊กบันทึกเกี่ยวกับเด็กชายสองคน ผมจำได้คนหนึ่ง ชื่อ คริสติน ไฮเนเกน เกิดมาสองชั่วโมงพูดได้ อายุสี่ขวบพูดได้เจ็ดภาษา เจ็ดขวบแสดงปาฐกถาเรื่องอภิปรัชญาแก่ประชุมนักปราชญ์โลก เป็นที่ทึ่งไปตามๆ กัน กินเนสบุ๊กคงไม่โกหกเรา อย่างน้อยสมัยนี้ สมัยที่เรา สามารถสืบหลักฐานได้ เด็กเกิดมาแล้วสองชั่วโมง พูดได้ก็มีแล้ว เทียบกับสมัยโน้น เจ้าชายน้อยพระองค์หนึ่งเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ทันทีที่ประสูติก็พูดได้ เดินได้ เวลาห่างกันเพียงสองชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบุคคลผู้มีบุญญาธิการ มีบารมีเต็มเปี่ยมอย่างพระโพธิสัตว์ ที่เกิดทันทีพูดได้ เดินได้
อนึ่ง ที่พูดได้ เดินได้หลังประสูติ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ชั่วขณะเท่านั้น จากนั้นก็นอนแบเบาะให้เขาเลี้ยงเหมือนเด็กอื่นๆ ทั่วไป
ขอบพระคุณมาก ที่ทำให้หายสงสัย อ่านแล้วเป็นปิติในพระมหากรุณาคุณที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสะสมมาจนเป็นเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก ขนาดดิฉันก็เรียนพระอภิธรรม แต่ยังอ่านไม่พบเรื่องนี้
สาธุ... บุญเหลือเกินที่ได้อ่านได้เจอ เพราะยังไม่เคยอ่านพบจากที่ไหนละเอียดเท่านี้เลย
ขออนุโมทนาค่ะ
พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่เลิศที่สุดในโลก หาใครเปรียบเทียบไม่ได้ เราจะวัดจากคน ส่วนมากเกิดมาเดินไม่ได้ แต่ในกรณีพระโพธิสัตว์ยกเว้น ท่านมีสติสัมปชัญญะตั้งแต่ก้าวลงสู่พระครรภ์และประสูติค่ะ
ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่ แต่ความจริงก็ต้องเป็นความจริงครับจะหาความจริง ก็ต้องศึกษา และพิสูจน์ การตัดสินเพียงอ่านบางข้อความแล้วสรุปตามความคิดเห็นส่วนบุคคล หรือ อ้างอิงตามวิชาการทางโลกซึ่งเต็มไปด้วยความไม่รู้ความจริงมากมาย (อวิชชา) ย่อมขัดแย้งกับสิ่งที่เกินจะรู้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของ "จิต" ใครจะอธิบายด้วยศาสตร์ไหนก็เข้าไม่ถึง เพราะเต็มไปด้วยเรื่องราว และความเห็นผิดเหนียวแน่น ฉาบทาด้วยความไม่รู้ ถ้าไม่ได้ศึกษาพุทธศาสตร์ด้วยความเห็นถูกจริงๆ ก็จะไม่เกิดสติปัฏฐานระลึกรู้จิตของตนได้เลยครับ และความจริงที่เสมือนเล่นมายากลกับเราตอนนี้ คือ สภาพธรรมะที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วที่รอให้ได้พิสูจน์ จนกว่าจะรู้ชัด แล้ว ประจักษ์แจ้งแทงตลอดอริยสัจจธรรมบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้
ขออนุโมทนาครับ
........ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เปิดกว้างนะครับ ไม่ได้บังคับให้ใครต้องเชื่ออะไร........