กิเลส กรรม วิบาก
เราศึกษาว่า จิตมีจริงๆ กำลังเห็นเป็นสภาพรู้ มีเหตุปัจจัยให้เกิดถ้าไม่ปฏิสนธิ ก็เห็นไม่ได้ ได้ยินก็ได้ยินไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละชาติตั้งต้นด้วยขณะจิตแรกที่เกิด ซึ่งต้องเป็นผลของกรรมหนึ่ง เราเห็นเลยว่าแต่ละคนต่างกันเพราะกรรมตั้งแต่เกิดมาไม่เห็นรูปเลย จะเป็นคน เป็นสัตว์ ก็ไม่เห็น แต่กรรมทำให้เกิดรูปอยู่เรื่อยๆ รูปเกิดดับ กรรมเป็นสมุฎฐานให้รูปเกิด ตา จักขุปสาทก็เกิดเพราะกรรม หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะกรรม แม้แต่รูปร่างมาจากไหน เติบโตขึ้นตั้งแต่เล็กจนโต มาจากไหน กรรมทำให้เกิดแล้วดับ
เราเกิดมาเพื่อรับวิบาก เพราะเราไม่ใช่โต๊ะ เก้าอี้ ไม่ใช่รูปอย่างเดียว มีจิตด้วย ต้องมีการรับผลของกรรม เช่น ตาเห็นเป็นผลของกรรม หูได้ยินเสียง ได้ยินเป็นผลของกรรม ไม่ต้องตอนหกล้ม ตอนป่วยไข้ เท่านั้นที่เป็นวิบาก เพราะฉะนั้น ทั้งวันนี้ก็คือ กิเลส กรรม วิบาก พอวิบาก กิเลสต่อทันที พอมีกิเลส ที่จะหมดกรรม เป็นไปไม่ได้เราก็พูด ก็ทำกุศลกรรม อกุศลกรรม แล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก เพราะฉะนั้นไม่ใช่อยู่แต่ในตำรา เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็น จิต เจตสิก แล้วก็มีรูปด้วย ถ้าเราเข้าใจเรื่องราวให้ดี ถูกต้องดังกล่าว จะเป็นเหตุให้สติระลึกตามสภาพธรรมที่เกิดดับตลอดชีวิตได้บ้าง พอเห็นกิเลสก็มาทันที ถ้าปัญญาไม่เกิด แต่เปลี่ยนได้ แทนที่กิเลสจะเกิด ปัญญาเกิด สำหร้บผู้ที่เข้าใจธรรมมากๆ สติระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ พระผู้มีพระภาคท่านมุ่งหมายให้คนฟัง พิจารณาธรรมในขณะนี้อนัตตาขณะนี้ นามธรรม รูปธรรมก็ขณะนี้ เรารู้ว่ากิเลสเกิดมาก ถึงจะรู้ว่ามีมากเท่าไร แต่จริงๆ มันเกิดมากกว่านั้น และอกุศลก็เกิดเร็วมากอีกด้วย เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟัง ของการสนทนาธรรม จะเตือนให้เราเข้าใจและเห็นประโยชน์ และเห็นว่าสิ่งที่เป็นอกุศล เป็นอกุศลจริงๆ ครับ
ธรรมเท่านั้นแหละที่จะช่วยได้ ไม่มีอะไรที่ประเสริฐกว่าการเข้าใจพระธรรม
ขออนุโมทนาครับ
เป็นอกุศลจริงๆ ครับ แล้วก็บ่อยมากๆ ด้วย ระลึกได้เป็นส่วนน้อย หลงลืมบ่อยเป็นส่วนมาก เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญายังไม่สมบูรณ์พอ ก็จะต้องวนเวียนต่อ ต่อไปในสังสารวัฏฏ์แน่นอนครับ
ขออนุโมทนาครับ