ลักษณะ อวิชชา ๒๕ อย่าง
[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้าที่ ๔๖๑
อวิชชามีลักษณะ ๒๕ คือ
ปัญญา ชื่อว่า ญาณ ปัญญานั้น ย่อมกระทำสัจจธรรม ๔ ซึ่งเป็นผลและเป็นผล ซึ่งเป็นเหตุและเป็นเหตุ ที่รู้แล้วให้ปรากฏ แต่อวิชชานี้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ให้เพื่ออันกระทำสัจจธรรม ๔ นั้น ให้รู้ ให้ปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อัญญาณ (ความไม่รู้) เพราะเป็นข้าศึกต่อญาณ
ปัญญา ชื่อว่า ทัสสนะ (ความเห็น) ก็มี ปัญญาแม้นั้นย่อมเห็นซึ่งอาการแห่งสัจจธรรม ๔ ตามที่กล่าวนั้น แต่อวิชชาเกิดขึ้นแล้วย่อมไม่ให้เพื่อเห็นสัจจธรรม ๔ นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อทัสสนะ
ปัญญา ชื่อว่า อภิสมัย (ความตรัสรู้) ก็มี ปัญญานั้น ย่อมตรัสรู้อาการแห่งสัจจธรรม ๔ ตามที่กล่าวนั้น แต่อวิชชาเกิดขึ้นแล้วย่อมไม่ให้เพื่อตรัสรู้อริยสัจจะ ๔ นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อนภิสมัย
ปัญญา ชื่อว่า อนุโพธะ (ความตรัสรู้ตาม) สัมโพธะ (ความตรัสรู้พร้อม) ปฏิเวธะ (การแทงตลอด) ก็มี ปัญญานั้น ย่อมตรัสรู้ตาม ย่อมตรัสรู้พร้อม ย่อมแทงตลอดอาการแห่งสัจจธรรม ตามที่กล่าวแล้วนั้น แต่อวิชชาเกิดขึ้นแล้วย่อมไม่ให้เพื่อตรัสรู้ตาม เพื่อตรัสรู้พร้อม เพื่อแทงตลอดสัจจธรรมนั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนนุโพธะ อสัมโพธะ และ อัปปฏิเวธะ.
ปัญญา ชื่อว่า สังคาหณา (ความถือเอาถูก) ก็มี ปัญญานั้นถือเอาแล้ว ทดลองแล้ว ย่อมถือเอาอาการนั้น แต่อวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ให้เพื่อถือเอา ทดลองแล้วถือเอาอาการนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อสังคาหณา.
ปัญญา ชื่อว่า ปริโยคาหณา (ความหยั่งโดยรอบ) ก็มี ปัญญานั้น หยั่งลงแล้ว ชำแรกแล้วซึ่งอาการนั้น ย่อมถือเอา แต่อวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ไห้เพื่อหยั่งลง ชำแรกแล้วถือเอา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อปริโยคาหณา.
ปัญญา ชื่อว่า สมเปกขนา (ความพินิจ) ก็มี ปัญญานั้น ย่อมเพ่งอาการนั้นโดยสม่ำเสมอและโดยชอบ แต่อวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ให้เพื่ออันเพ่งอาการนั้นโดยสม่ำเสมอและโดยชอบ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อสมเปกขนา
ปัญญา ชื่อว่า ปัจจเวกขณา (ความพิจารณา) ก็มี ปัญญานั้นย่อมพิจารณาอาการนั้น แต่อวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ให้เพื่ออันพิจารณาอาการนั้น เพราะฉะนั้น จึงถือว่า อปัจจเวกขณา
กรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง อันประจักษ์ ย่อมไม่มีแก่อวิชชานี้ และกรรมที่ตัวเอง (คืออวิชชา) ไม่พิจารณาแล้วกระทำ มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อวิชชานี้จึงชื่อว่า อัปปัจจักขกรรม (มีกรรมอันไม่พิจารณากระทำให้ประจักษ์)
อวิชชานี้ ชื่อว่า ทุมมิชฌะ (ความทรามปัญญา) เพราะความโฉดเฉา
อวิชชานี้ ชื่อว่า พาลยะ (ความโง่เขลา) เพราะความเป็นธรรมชาติโง่เขลา
ปัญญา ชื่อว่า สัมปชัญญะ (ความรู้ทั่วพร้อม) ก็มี ปัญญานั้นย่อมรู้ทั่วซึ่งสัจจธรรม ๔ เป็นผลและเป็นผล ที่เป็นเหตุและเป็นเหตุโดยชอบ แต่อวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ให้เพื่ออันรู้ทั่วซึ่งอาการนั้นเพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อสัมปชัญญะ.
อวิชชา ชื่อว่า โมหะ (ความหลง) ด้วยอำนาจแห่งความโง่.
อวิชชา ชื่อว่า ปโมหะ (ความลุ่มหลง) ด้วยอำนาจความหลงทั่ว.
อวิชชา ชื่อว่า สัมโมหะ (ความหลงใหล) ด้วยอำนาจความหลงพร้อม
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชา ด้วยอำนาจอรรถมีอาทิว่า ย่อมรู้สิ่งที่ไม่ควรรู้
อวิชชา ชื่อว่า อวิชโชฆะ (โอฆะคืออวิชชา) เพราะย่อมนำลงคือ ให้จมลงในวัฏฏะ.
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชาโยคะ (โยคะคืออวิชชา) เพราะประกอบไว้ในวัฏฏะ
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชานุสัย (อนุสัยคืออวิชชา) ด้วยอำนาจการละยังไม่ได้ และเพราะเกิดขึ้นบ่อยๆ
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชาปริยุฏฐาน (การกลุ้มรุมจิตคืออวิชชา) เพราะย่อมกลุ้มรุม ย่อมจับ ย่อมปล้นกุศลจิต เหมือนพวกโจรซุ่มในหนทางปล้นคนเดินทาง ฉะนั้น.
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชาลังคี (กลอนเหล็กคืออวิชชา) เพราะอรรถว่าเมื่อลิ่ม คือกลอนเหล็กที่ประตูเมืองตกไปแล้ว ย่อมตัดขาดซึ่งการออกไปภายนอกเมือง ของพวกคนภายในเมืองบ้าง ซึ่งการเข้าไปภายในเมืองของพวกคนภายนอกเมืองบ้าง ฉันใด อวิชชานี้ตกไปในกายนครของตนแห่งบุคคลใด ย่อมตัดขาดการดำเนินไป คือ ญาณ อันให้ถึงพระนิพพานของบุคคลนั้นฉันนั้น
อวิชชา ชื่อว่า อกุศลมูล เพราะอรรถว่า อกุศลนั้นเป็นมูล หรือเพราะอรรถว่า อวิชชาเป็นมูลแห่งอกุศลทั้งหลาย ก็อกุศลมูลนั้น มิใช่อื่นในที่นี้ทรงประสงค์เอา โมหะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อกุศลมูล คือ โมหะ.
บทว่า อย วุจิจติ (นี้เรียกว่า) ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า นี้ชื่อว่า อวิชชามีลักษณะอย่างนี้ พึงทราบลักษณะอวิชชาด้วยอำนาจบท ๒๕ ด้วยประการฉะนี้
อวิชชา ไม่ให้กระทำสัจจธรม ๔ ให้รู้ ให้ประจักษ์ จึงชื่อว่า อัญญาณ (ความไม่รู้) เพราะเป็นข้าศึกต่อญาณ อวิชชา ไม่ให้เห็นสัจจธรรม ๔ จึงชื่อว่า อทัสสนะ
อวิชชา ไม่ให้ตรัสสรู้ อริยสัจจะ ๔ จึงชื่อว่า อนภิสมัย
อวิชชา ไม่ให้ตรัสรู้ตาม ตรัสรู้พร้อม เพื่อแทงตลอดสัจจธรรมนั้น จึงชื่อว่า อนนุโพธะ อสัมโพธะ และ อัปปฏิเวธะ
อวิชชา ไม่ให้ถือเอา ทดลองแล้วถือเอาอาการนั้น จึงชื่อ อสังคาหณา
อวิชชา ไม่ให้หยั่งลง ชำแรกแล้วถือเอา จึงชื่อ อปริโยคาหณา
อวิชชา ไม่ให้เพ่งอาการนั้นโดยสม่ำสเมอ และโดยชอบ จึงชื่อว่า อสมเปกขนาอวิชชา
ชื่อว่า อัปปัจจักขกรรม (มีกรรมอันไม่พิจารณากระทำให้ประจักษ์)
อวิชชา ชื่อว่า ทุมมิชฌะ (ความทรามปัญญา) เพราะความโฉดเฉา
อวิชชา ชื่อว่า พาลยะ (ความโง่เขลา) เพราะความโง่เขลา
อวิชชา ไม่ให้รู้ทั่วซึ่ง สัจจธรรม ๔ จึงชื่อว่า อสัมปชัญญะ
อวิชชา ชื่อว่า โมหะ (ความหลง) ด้วยอำนาจแห่งความโง่
อวิชชา ชื่อว่า ปโมหะ (ความลุ่มหลง) ด้วยอำนาจความหลงทั่ว
อวิชชา ชื่อว่า สัมโมหะ (ความหลงไหล) ด้วยอำนาจความหลงพร้อม
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชา ด้วยอำนาจอรรถที่ว่า ย่อมไม่รู้สิ่งที่ควรรู้
อวิชชา ชื่อว่า อวิชโชฆะ (โอฆะคืออวิชชา) เพราะให้จมลงในวัฏฏะ
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชาโยคะ (โยคะคืออวิชชา) เพราะปะกอบไว้ไนวัฏฏะ
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชานุสัย (อนุลัยคืออวิชชา) ด้วยอำนาจการละยังไม่ได้ และเพราะเกิดขึ้นบ่อยๆ
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชาปริยุฏฐาน (การกลุ้มรุมจิตคืออวิชชา) เพราะกลุ้มรุม จับ ปล้นกุศลจิต
อวิชชา ชื่อว่า อวิชชาลังคี (กลอนเหล็กคือลังคี) ย่อมตัดขาดการดำเนินไป คือ ญาณอันให้ถึงพระนิพพานอวิชชา ชื่อว่า อกุศลมูล เป็นมูลแห่งอกุศลทั้งหลาย คือ โมหะ
การทราบลักษณะของอวิชชา หรือ โมหะ ซึ่งเป็นมูลของอกุศลทั้งปวงรวม 25 ประการนิ้ อาจจะเกื้อกูลให้รู้ลักษณะของโมหะ และสภาพธรรมอื่นๆ มากขึ้นบ้าง
อนุโมทนาค่ะ เคยได้อ่านไวพจน์ของคำว่า ปัญญา จาก web นี้มาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้มีโอกาสได้รู้คำที่หมายถึงอวิชชา ไม่เคยได้รู้มาก่อนเลยว่ามีคำมากมายเพียงนี้
อนุโมทนาในความกรุณาค่ะ
ชื่อเยอะ ความหมายแยะ ตัวจริงร้ายกาจมากและรู้ยากมากทั้งๆ ที่มีเกือบตลอดเวลาที่ตื่น
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอภิธรรมปฎกวิภังคเลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 461 - 466
อวิชชามีลักษณะ ๒๕
คือ ปญญา ชื่อวา ญาณ ปญญานั้น ยอมกระทําสัจจธรรม ๔ ซึ่งเปนผลและเปนผล ซึ่งเปนเหตุและเปนเหตุ ที่รูแลวใหปรากฏ แตอวิชชา นี้เกิดขึ้นแลว ยอมไมใหเพื่ออันกระทําสัจจธรรม ๔ นั้น ใหรู ใหปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา อัญญาณ (ความไมรู) เพราะเปนขาศึกตอญาณ. ปญญา ชื่อวา ทัสสนะ (ความเห็น) ก็มี ปญญาแมนั้นยอมเห็น ซึ่งอาการแหงสัจจธรรม ๔ ตามที่กลาวนั้น แตอวิชชาเกิดขึ้นแลวยอมไมให เพื่อเห็นสัจจธรรม ๔ นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา อทัสสนะ. ปญญา ชื่อวา อภิสมัย (ความตรัสรู) ก็มี ปญญานั้น ยอมตรัสรู อาการแหงสัจจธรรม ๔ ตามที่กลาวนั้น แตอวิชชาเกิดขึ้นแลวยอมไมใหเพื่อ ตรัสรูอริยสัจจะ ๔ นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา อนภิสมัย.
ปญญา ชื่อวา อนุโพธะ (ความตรัสรูตาม) สัมโพธะ (ความ ตรัสรูพรอม) ปฏิเวธะ (การแทงตลอด) ก็มี ปญญานั้น ยอมตรัสรูตาม ยอมตรัสรูพรอม ยอมแทงตลอดอาการแหงสัจจธรรม ตามที่กลาวแลวนั้น แตอวิชชาเกิดขึ้นแลวยอมไมใหเพื่อตรัสรูตาม เพื่อตรัสรูพรอม เพื่อแทงตลอด สัจจธรรมนั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อวา อนนุโพธะ อสัมโพธะ และ อัปปฏิเวธะ
ปญญา ชื่อวา สังคาหณา (ความถือเอาถูก) ก็มี ปญญานั้น ถือเอาแลว ทดลองแลว ยอมถือเอาอาการนั้น แตอวิชาเกิดขึ้นแลว ยอมไมให เพื่อถือเอา ทดลองแลวถือเอาอาการนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา อสังคาหณา
ปญญา ชื่อวา ปริโยคาหณา (ความหยั่งโดยรอบ) ก็มี ปญญานั้น หยั่งลงแลว ชําแรกแลวซึ่งอาการนั้น ยอมถือเอา แตอวิชชาเกิดขึ้นแลว ไมไหเพื่อหยั่งลง ชําแรกแลวถือเอา เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา อปริโยคาหณา
ปญญา ชื่อวา สมเปกขนา (ความพินิจ) ก็มี ปญญานั้น ยอม เพงอาการนั้นโดยสม่ําเสมอและโดยชอบ แตอวิชชาเกิดขึ้นแลว ยอมไมใหเพื่อ อันเพงอาการนั้นโดยสม่ําเสมอและโดยชอบ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อวา อสมเปกขนา.
ปญญา ชื่อวา ปจจเวกขณา (ความพิจารณา) ก็มี ปญญานั้น ยอมพิจารณาอาการนั้น แตอวิชชาเกิดขึ้นแลวยอมไมใหเพื่ออันพิจารณาอาการ นั้น เพราะฉะนั้น จึงถือวา อปจจเวกขณา
กรรม อยางใดอยางหนึ่ง อันประจักษ ยอมไมมีแกอวิชชานี้ และ กรรมที่ตัวเอง (คืออวิชชา) ไมพิจารณาแลวกระทํา มีอยู เพราะเหตุนั้น อวิชชานี้จึงชื่อวา อัปปจจักขกรรม (มีกรรมอันไมพิจารณากระทําให ประจักษ) .
อวิชชานี้ ชื่อวา ทุมมิชฌะ (ความทรามปญญา) เพราะความ โฉดเฉา
อวิชชานี้ ชื่อวา พาลยะ (ความโงเขลา) เพราะความเปนธรรมชาติ โงเขลา
ปญญา ชื่อวา สัมปชัญญะ (ความรูทั่วพรอม) ก็มี ปญญานั้น ยอมรูทั่วซึ่งสัจจธรรม ๔ เปนผลและเปนผล ที่เปนเหตุและเปนเหตุโดยชอบ แตอวิชชาเกิดขึ้นแลว ยอมไมใหเพื่ออันรูทั่วซึ่งอาการนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา อสัมปชัญญะ
อวิชชา ชื่อวา โมหะ (ความหลง) ดวยอํานาจแหงความโง.
อวิชชา ชื่อวา ปโมหะ (ความลุมหลง) ดวยอํานาจความหลงทั่ว.
อวิชชา ชื่อวา สัมโมหะ (ความหลงใหล) ดวยอํานาจความหลงพรอม.
อวิชชา ชื่อวา อวิชชา ดวยอํานาจอรรถมีอาทิวา ยอมรูสิ่งที่ไมควรรู.
อวิชชา ชื่อวา อวิชโชฆะ (โอฆะคืออวิชชา) เพราะยอมนําลง คือ ใหจมลงในวัฏฏะ.
อวิชชา ชื่อวา อวิชชาโยคะ (โยคะคืออวิชชา) เพราะประกอบ ไวในวัฏฏะ.
อวิชชา ชื่อวา อวิชชานุสัย (อนุสัยคืออวิชชา) ดวยอํานาจการละ ยังไมได และเพราะเกิดขึ้นบอยๆ
อวิชชา ชื่อวา อวิชชาปริยุฏฐาน (การกลุมรุมจิตคืออวิชชา) เพราะยอมกลุมรุม ยอมจับ ยอมปลนกุศลจิต เหมือนพวกโจรซุมในหนทาง ปลนคนเดินทางฉะนั้น.
อวิชชา ชื่อวา อวิชชาลังคี (กลอนเหล็กคืออวิชชา) เพราะอรรถวา เมื่อลิ้มคือกลอนเหล็กที่ประตูเมืองตกไปแลวยอมตัดขาดซึ่งการออกไปภายนอก เมือง ของพวกคนภายในเมืองบาง ซึ่งการเขาไปภายในเมืองของพวกคน ภายนอกเมืองบาง ฉันใด อวิชชานี้ตกไปในกายนครของตนแหงบุคคลใด ยอมตัดขาดการดําเนินไปคือ ญาณอันใหถึงพระนิพพานของบุคคลนั้นฉันนั้น.
อวิชชา ชื่อวา อกุศลมูล เพราะอรรถวา อกุศลนั้นเปนมูล หรือ เพราะอรรถวา อวิชชาเปนมูลแหงอกุศลทั้งหลาย. ก็อกุศลมูลนั้น มิใชอื่น ในที่นี้ทรงประสงคเอา โมหะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อวา อกุศลมูล คือ โมหะ.
บทวา อย วุจิจติ (นี้เรียกวา) ความวา พระผูมีพระภาคเจา ตรัสเรียกวา นี้ ชื่อวา อวิชชามีลักษณะอยางนี้
พึงทราบลักษณะอวิชชาดวยอํานาจบท ๒๕ ดวยประการฉะนี้ อนึ่ง อวิชชานี้มีลักษณะอยางนี้ แมตรัสวา ความไมรูในทุกข เปนตน ก็ยอมเปนสวนหนึ่งแหงทุกขสัจจะ เปนธรรมเกิดพรอมกัน ยอมกระทําทุกขสัจจะนั้นใหเปนอารมณ ยอมปกปดทุกขสัจจะนั้น. มิใชเปน สวนหนึ่งของสมุทยสัจจะ เปนธรรมเกิดพรอมกัน ยอมกระทําสมุทยสัจจะนั้น ใหเปนอารมณ ยอมปกปดสมุทยสัจจะนั้น. ไมเปนสวนหนึ่งของนิโรธสัจจะ ไมเกิดพรอมกัน ไมทํานิโรธสัจจะนั้นใหเปนอารมณ ยอมปกปดอยางเดียว. ไมเปนสวนหนึ่งแมแหงมรรคสัจจะ ไหเกิดพรอมกัน ไมทํามรรคสัจจะนั้น ใหเปนอารมณ ยอมปกปดอยางเดียว.
อวิชชายอมเกิดขึ้นเพราะความมีทุกขเปนอารมณ และยอมปกปดทุกข ที่เปนอารมณนั้น อวิชชายอมเกิดขึ้น เพราะความมีสมุทัยเปนอารมณ และ ยอมปกปดสมุทัยที่เปนอารมณนั้น อวิชชายอมไมเกิดขึ้นเพราะความมีนิโรธ เปนอารมณ และยอมปกปดนิโรธนั้น อวิชชายอมไมเกิดขึ้นเพราะความมีมรรค เปนอารมณ แตยอมปกปดมรรคนั้น.
สัจจะ ๒ ชื่อวา ลึกซึ้ง (คัมภีระ) เพราะเห็นไดโดยยาก สัจจะ ๒ ชื่อวา เห็นไดโดยยาก เพราะความเปนของลึกซึ้ง อีกอยางหนึ่ง อริยสัจคือ ทุกขนิโรธ เปนสภาพลึกซึ้งและเห็นไดโดยยาก.
บรรดาสัจจะเหลานั้น ขึ้น ชื่อวา ทุกข เปนสภาพปรากฏ แตที่ชื่อวา ลึกซึ้ง เพราะเปนลักษณะไดยาก. แมในสมุทัย ก็นัยนี้เหมือนกัน เปรียบเหมือนหนึ่ง ธรรมดาวา การกวน มหาสมุทรแลวนําเอาโอชะออกมาเปนภาระ (ของหนัก) ธรรมดาวา การขน ทรายจากเชิงเขาสิเนรุ ก็เปนภาระ ธรรมดาวา การบีบคั้นภูเขาแลวนํารสออกมา ก็เปนภาระ ฉันใด สัจจะทั้ง ๒ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ชื่อวา เห็นไดยาก เพราะความเปนภาวะลึกซึ้งโดยแท แตนิโรธสัจจะทั้งลึกซึ้งอยางยิ่ง และเห็น ไดยากอยางยิ่ง เพราะฉะนั้น ความบอดคือโมหะซึ่งปกปดอริยสัจ ๔ ที่ชื่อวา ลึกซึ้ง เพราะเห็นไดยาก และชื่อวา เห็นไดยาก เพราะความลึกซึ้ง ดวยประการฉะนี้ จึงตรัสเรียกวา อวิชชา
บทวาดวยนิเทศอวิชชา จบ