เรื่องทานและผลของทาน?
ขอนอบน้อมในพระรัตนตรัยและยึดมั่นเป็นที่พึ่งอันสูงสุด
รบกวนเรียนถามท่านผู้รู้ธรรมและสหายธรรมด้วยครับ เข้าใจในทานคือการให้แต่มีข้อติดดังนี้ครับ
๑. การให้ทิป เช่น ในโรงแรม ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ โดยเราอาจจะไม่ให้ก็ได้เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรเช่น ผมเข้าไปเติมน้ำมัน เด็กปั๊มเช็ดกระจกให้ ผมให้เงิน20บาทเพื่อเป็นสินน้ำใจ อย่างนี้ผมได้บุญในทานนั้นหรือไม่ (หรือว่าเป็นค่าจ้างแต่ผมว่าไม่น่านะเพราะจะไม่ให้ก็ได้)
๒. การให้เงินลูกของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเพื่อจ้างไปฟังธรรมกับพระพุทธองค์ตรงนี้เงินที่ให้ลูกไปถือเป็นทาน และได้อานิสงค์แห่งทานนั้นหรือไม่
๓. การให้เงินเป็นค่าเลี้ยงดูลูกแก่ภรรยาถือเป็นทานหรือไม่
๔. เข้าใจการตอบแทนบิดามารดาเป็นของยาก ในทางกลับกันบิดามารดาให้การอุปการะแก่บุตรด้วยเงินทอง สิ่งของและอื่นๆ จนบุตรโต ถือว่าเป็นการให้ทานหรือไม่? และมีอานิสงค์หรือไม่? หรือเป็นกรรมที่ต้องมาชดใช้แก่บุตร?
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาบุญในธรรมทานกับทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
๑. ขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นสำคัญ ถ้าตั้งใจให้เพื่อประโยชน์สุขของบุคคลนั้น ก็เป็นจิตที่เป็นกุศลที่เป็นไปในทาน แต่สภาพธัมมะนั้นก็ดับไปแล้ว จะรู้ว่าเป็นกุศลหรือไม่ก็ต้องเป็นสติที่รู้ในขณะนั้น
๒. ทาน คือเจตนาที่สละวัตถุเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้รับ โดยเป็นกุศลที่ประกอบด้วยการสละคือ อโลภเจตสิก แล้วแต่จิตใครว่าจะเป็นอย่างไร
๓. เช่นเดียวกัน ถ้าเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้รับและเป็นเจตนาที่สละ ก็เป็นกุศลขั้นทาน
๔. ไม่ว่ากับบุคคลใด ถ้าเป็นเจตนาเพื่อสละอันเกิดจากกุศลจิตแล้ว ก็เป็นกุศลขั้นทาน แต่ถ้าให้เพื่อแลกเปลี่ยนหรือให้อาหารสัตว์เพื่อประโยชน์ของตนในการพาณิชย์ เป็นต้น ไม่ใช่เป็นจิตที่เป็นกุศลแล้วก็ไม่เป็นทาน ส่วนเรื่องอานิสงส์นั้นก็แล้วแต่สภาพจิต และบุคคลที่เราให้ ย่อมทำให้มีอานิสงส์ต่างๆ กัน แต่ธรรมเป็นเรื่องละ แม้ผลของบุญ เป็นบุญ ไม่ใช่ได้บุญ ขอแสดงข้อความในพระไตรปิฎกในเรื่องของทานครับ
[เล่มที่ ๔๗] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๑๗๑
ข้อความบางตอนจาก
อรรถกถามงคลสูตร
เจตนาเป็นเครื่องบริจาคทานวัตถุ ๑๐ อย่าง มีข้าวเป็นต้น ซึ่งมีความยินดีในเบื้องต้น เจาะจงผู้อื่นชื่อว่า ทาน. อีกอย่างหนึ่ง อโลภะ ที่สัมปยุตด้วยเจตนานั้น ชื่อว่า ทาน ด้วยว่า บุคคลย่อมมอบให้ซึ่งวัตถุนั้นแก่บุคคลอื่นด้วยอโลภะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า ที่ชื่อว่า ทาน เพราะอรรถว่าวัตถุเป็นเครื่องให้
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
"แต่ธรรมเป็นเรื่องละ แม้ผลของบุญ เป็นบุญ ไม่ใช่ได้บุญ"
ขออนุโมทนาครับ
๑. การให้ทิปเป็นบุญหรือไม่ อยู่ที่เจตนาให้ โดยเล็งเห็นประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่นเป็นสำคัญครับ ถ้ามีอกุศลเกิดแอบแฝงขึ้นมาในการให้นั้น อานิสงส์ที่จะได้รับจากบุญนั้นก็น้อยลงครับ เช่น
ให้แล้วเขาจะได้เห็นความดีของเรา ..จึงให้ X
ถ้าไม่ให้ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราไม่มีน้ำใจ ..จึงให้ X
เขาทำดีกับเราก่อน การไม่ตอบแทนคุณ ไม่ควร ..จึงให้ (เป็นเรา?)
ให้แล้วเขาจะได้ชม หรือไหว้ขอบพระคุณเรา ..จึงให้ X
ให้เพราะเชื่อว่าการให้เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ..จึงให้?
ให้เพราะสงสารที่เขาต้องเป็นเด็กปั๊ม ลำบากกว่าเรา ..จึงให้?
ให้แล้วเขาจะได้เอาความดีของเราไปพูดต่อ ..จึงให้ X
ให้เพราะซาบซึ้งประทับใจในความมีน้ำใจของเขา ..จึงให้?
ให้เพราะรักใคร่ชอบพอเป็นพิเศษ ถูกโฉลก ..จึงให้ X
ให้เพื่อขัดเกลาความตระหนี่ที่เกิดในขณะนั้น ..จึงให้ / (เป็นธรรมะ)
ฯลฯ
โปรดอ่านข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎกนะครับ
ความคิดเห็นที่ 1 โดย : ม.ศ.พ.
ทาน ๘ ประการมีหลายนัย ขอยกมาบางสูตรดังนี้
เชิญคลิกอ่านได้ที่......
ทาน ๘ ประการ [ปฐมทานสูตร]
เรื่องของการให้ทานโดยนัยอื่นๆ ยังมีอีกมาก
เชิญคลิกอ่าน.....
๒. การให้ทานของผู้อื่น เราไม่อาจจะรู้ได้ว่าเจตนาจริงๆ ของเขาเป็นเพราะกุศลจิตหรืออกุศลจิตครับ แม้แต่เราเอง ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิดกับจิตในขณะนั้น ก็ย่อมจะไม่รู้ว่าจิตเป็นกุศลหรืออกุศล ส่วนในเรื่องอานิสงส์ของทาน เชิญอ่านจากข้อความในพระไตรปิฎกโดยตรงข้างล่างนะครับ
๓. ก็ต้องพิจารณาว่า เราให้เพื่อที่ภรรยาจะได้เลี้ยงลูกแทนเราซึ่งออกไปทำงานหาเงิน หรือไม่ด้วยครับ เป็นการให้เพื่อทดแทนหรือแลกเปลี่ยนหน้าที่กันในบ้านหรือเปล่า หรือว่ามีเจตนาที่เป็นกุศล ให้เพื่อภรรยาและบุตรจะได้มีความสุขสบายจากการใช้เงินที่เราได้หามาให้ โดยที่ไม่ได้มุ่งหมายว่า ภรรยาและบุตรจะเอาเงินไปใช้ในกิจอะไรโดย เฉพาะ
๔. ผู้เป็นบิดา มารดา ต้องเป็นผู้พิจารณาจิตของตนเองครับ ว่าให้เพราะความรักซึ่งเป็นโลภะด้วยความสำคัญว่า เขาเป็นลูกของเรา ต้องให้ลูกของเราก่อน ลูกของเรา สำคัญกว่า หรือไม่หรือว่าให้เพื่อการสละในสิ่งที่ยึดถือไว้ด้วยความติดข้อง ให้ได้ยาก เคยหวงมาก โดยเล็งเห็นประโยชน์ต่อผู้รับเป็นสำคัญ จะเป็นหรือไม่เป็นลูกของ เรา ไม่ว่าใครก็ให้ได้ เป็นต้น ครับ
ความคิดเห็นที่ ๓ โดย : ม.ศ.พ.
เชิญคลิกอ่านที่...
ขึ้นอยู่กับจิตที่ให้ในขณะนั้น ให้เพราะกรุณาอยากช่วยเหลือเขา ให้เพราะเมตตา มีความเป็นมิตรกับเขา ให้เพราะอยากให้เขาได้รับความสุข จิตที่ให้เป็นกุศลจิต เป็นบุญนำมาซึ่งความสุขในภพนี้และภพหน้าค่ะ
ขออนุโมทนาคุณ atom ที่ให้ทิป ดีค่ะ
เมื่อมีการให้เกิดขึ้น สภาพจิตในขณะนั้นต้องเป็นกุศลแน่นอน เพียงแต่จะมีกำลังหรือไม่มีกำลัง เกิดร่วมกับปัญญาหรือไม่เกิดร่วมกับปัญญา เกิดร่วมกับอุเบกขาหรือว่าโสมนัส เท่านั้นเองค่ะ
ส่วนเรื่องอานิสงฆ์คงต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีก เช่น ทายก ปฏิคาหก ไทยธรรม ฯลฯ และถ้าหวังผลของทานเมื่อไหร่ อานิสงฆ์ก็น้อยลงไปแล้วค่ะ
จากข้อความข้างล่างนี้
ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า. ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า.
๑. คำว่าแสนโกฎิเท่า คือ ๑ ล้านล้านเท่าหรือเปล่าครับ ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า แต่ผมเคยรู้มาว่า คำว่าโกฎิ คือสิบล้าน เคยเจอในพระไตรปิฏก เช่น ๙๐ โกฏิ ในการทำบุญของนางวิสาขา ซึ่งถ้าเทียบก็คือ ๙๐๐ ล้านบาทในสมัยนั้น และผมก็เลยสงสัยว่า แสนคูณโกฏก็น่าจะเท่ากับล้านล้านเท่า
๒. เพราะฉะนั้นผมไม่แน่ใจว่าข้อความนั้นคัดมาถูกหรือเปล่าหากเรียงลำดับในผลบุญ จากแสนเท่าข้างต้น ขั้นต่อไปน่าจะเป็นล้านเท่า (โกฏเท่า) หรือเปล่าครับ
ขออนุโมทนาในผลบุญแห่งธรรมทานครับ