การกระทำของแต่ละบุคคลถูกกรรมกำหนดมาแล้วจริงหรือ?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยและยึดมั่นเป็นที่พึ่งอันสูงสุด
เรียนถามท่านผู้รู้ธรรมและสหายธรรมช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยนะครับ
๑. การกระทำของแต่ละบุคคล เช่น คนๆ นี้มีอาชีพนี้ ถนัดในด้านนี้ มีใจโอบอ้อมอารี มี ใจกระด้าง เป็นโจร เป็นนักบวช รวย จน มีเวลาที่จะปฏิบัติธรรม ไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติ ตายก่อนกำหนด อายุยืนยาว ฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้เพราะกรรมในอดีตชาติกำหนดมาแล้ว ต้องเป็นเช่นนี้ใช่มั๊ยครับ?
๒. หากถูกกำหนดมาแล้วในกรรมของอดีตชาติและส่วนหนึ่งถูกกำหนดในชาติปัจจุบัน ทั้งนี้พฤติกรรมเราถูกกำหนดมาโดยกรรมเช่นนี้เราสามารถแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้หรือ ไม่ครับ เช่น ถูกกำหนดมาว่าเป็นคนจนเพราะอดีตเคยทำทานน้อย แต่ปัจจุบันทำกรรมดีมากๆ คือ ทำทานรักษาศีล นั่งกรรมฐานจะช่วยเปลี่ยนวิถีชีวิตในชาติปัจจุบันได้ หรือไม่? และจะเปลี่ยนได้เร็วสุดกี่ปี? (รู้ว่าขึ้นอยู่กับทานที่ทำ กรรมดีที่ทำในปัจจุบัน และต้องทำเท่าไหร่ล่ะ?)
๓. จากข้อ ๒ ผมรู้ว่าในพระไตรปิฏกฯ บางตอนที่พระพุทธองค์ได้กำหนดบางคนว่า อนาคตอีกนานเท่าไหร่ผู้นั้นจะเป็นอะไร ก็เพราะว่าพุทธองค์ได้เห็นการกระทำและกรรมที่ทำของผู้นั้นในอดีตเลยสามารถที่จะทำนายได้เช่นนี้ หากบุคคลนั้นประพฤติ การกระทำใหม่ที่ตรงข้ามกับที่ทำนายคำพยากรณ์นั้นยังคงเป็นเช่นนั้นหรือไม่?
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาบุญธรรมทานทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
๑. ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสภาพธัมมะ จะรวยจะจน จะมีอาชีพอย่างไร จะตายตอนไหน ก็เพราะกรรมที่ทำมาในอดีต รวมทั้งกรรมที่ทำปัจจุบันด้วยครับ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเพียร (ปโยคะ) คติ (ที่เกิด) อุปธิ (รูปร่างหน้าตา) และกาลเวลา ซึ่ง เป็นไปตามเหตุปัจจัยของสภาพธัมมะที่ปรุงแต่ง อันเป็นความวิจิตรของกรรม ส่วนอุปนิสัยก็เป็นไปตามการสะสมมาของบุคคลนั้นในอดีต ถ้าพบสิ่งที่ดี เช่นพระธรรมที่ถูก ต้องในปัจจุบัน ก็สะสมสิ่งที่ดี แต่ถ้าพบกับพระธรรมที่ไม่ถูกต้องอันเนื่องมาจากคบคน ที่เห็นผิด ก็จะสะสมสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้น แต่การพบคนดีก็เนื่องจากุศลกรรมอีกเช่นกัน ดังจะขอแสดงข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงว่า การคบอสัตบุรุษย่อมทำให้เสื่อมได้ในปัจจุบัน แม้จะสะสมอุปนิสัยอันงาม สามารถบรรลุมรรคผล ได้ในชาตินั้นแต่ก็ไม่สามารถบรรลุได้เพราะคบกันคนที่เป็นอสัตบุรุษ
๒. ทำดีเพราะเป็นความดี ไม่ใช่เหตุอื่น เป็นผู้ตรงในการขัดเกลากิเลส ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมก็เปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าจะมีเงินหรือทรัพย์น้อยลงเท่านั้น แต่เปลี่ยนไปในการมีความเห็นผิดมากขึ้น เมื่อเห็นผิด คิดก็ผิด วาจาก็ผิด ..... ทำให้ทำอกุศลกรรมโดยไม่รู้ตัว เช่น ปฏิบัติผิด เป็นต้น จึงควรเริ่มจากการฟังพระธรรม ให้เข้าใจในหนทางที่ถูกต้องและไม่ลืมเสมอว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละ ไม่ใช่ได้ ขณะที่หวังจะได้ ขณะนั้นไม่ใช่บุญครับ ส่วนผลของบุญจะให้ผลก็แล้วแต่กาลเวลา และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าเลือกกำหนดเองได้ ก็ลืมไปกับคำว่า อนัตตา เป็นเรื่องละตั้งแต่ต้นนะ แม้เรื่องของการอยากได้กุศล
๓. พระพุทธเจ้าทรงเห็นเหตุการณ์ตลอดทั้งหมด ตั้งแต่ทรงพยากรณ์จนถึงวันที่คนนั้น เป็นอย่างนั้น พระพุทธดำรัสของพระพุทธองค์ จึงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เป็นสอง ดังข้อความในพระไตรปิฎก
[เล่มที่ ๗๓] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๒๖
ต่อจากนั้น สุเมธบัณฑิต สดับคำของพระทีปังกรทศพล และของเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็เกิดอุตสาหะอย่างยิ่งยวด คิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระวาจาไม่โมฆะ เปล่าประโยชน์ พระวาจาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เปลี่ยนเป็นอื่น. เหมือนอย่างว่า ก้อนดินที่เหวี่ยงไปในอากาศก็ตก แน่นอน สัตว์ที่เกิดมาแล้วก็ตาย เมื่ออรุณขึ้นดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสู่ท้องฟ้า ราชสีห์ ออกจากที่อยู่ ก็บันลือสีหนาท สตรีมีครรภ์หนักก็ปลงภาระแน่นอน เป็นอย่างนี้โดยแท้ฉันใด ธรรมดาพระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็แน่นอน ไม่โมฆะเปล่าประโยชน์ ฉันนั้นเหมือนกัน เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์