เมื่อไรจึงจะถึงนิพพิทาญาณ - อุทายีสูตร
ในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สมุททวรรคที่ ๓
อุทายีสูตร มีข้อความว่า
[๓๐๐] ท่านพระอานนท์กล่าวกับท่านพระอุทายีว่า “ดูกร ท่านพระอุทายี จักขุวิญญาณย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุและรูปหรือ”
อุทายี อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ อานนท์ เหตุและปัจจัยที่จักขุวิญญาณอาศัยเกิดขึ้นพึงดับไปหมดสิ้นหาส่วนเหลือมิได้ จักขุวิญญาณจะปรากฏบ้างหรือหนออุทายี ไม่ปรากฏเลยท่านผู้มีอายุ
ในขณะทีได้ยิน ไม่มีเห็น นี่คือการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะที่นึกคิดเรื่องราวต่างๆ ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน เพราะขณะนั้นกำลังรู้เรื่องสภาพรู้กำลังคิดเรื่องที่กำลังรู้อยู่ในขณะนั้น ก็คือการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ท่านพระอานนท์จึงกล่าวกะท่านพระอุทายีว่าเมื่อจักขุวิญญาณ คือการเห็นเกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุคือตา และสิ่งที่ปรากฏทางตาเมื่อจักขุและรูปซึ่งไม่เที่ยงดับไปแล้ว การเห็นจะมีได้อย่างไร การเห็นก็ต้องดับไป
ในขณะที่ผู้ประจักษ์ลักษณะของสภาพรู้ ธาตุรู้จริงๆ เป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว กว่าจะอบรมเจริญปัญญาจนถึงนิพพิทาญาณได้ ปัญญาจะต้องเจริญขึ้นจนรู้ปัจจัยของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น บรรลุถึงปัจจยปริคคหญาณ
แล้วปัญญาจึงจะอบรมเจริญต่อไปจนกว่าจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่สืบต่อกัน เป็นสัมมสนญาณ
แล้วปัญญาก็จะต้องอบรมเจริญต่อไป จนกว่าจะประจักษ์การเกิดดับแยกขาดกันของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ เป็นอุทยัพพยญาณ
แล้วปัญญาจึงจะอบรมเจริญขึ้นจนกว่าจะประจักษ์ความไม่เที่ยงของสภาพธรรมซึ่งดับไปๆ เป็นภังคญาณ
แล้วปัญญาจึงจะอบรมเจริญขึ้นจนกว่าจะประจักษ์โทษภัยของการดับไปของสภาพธรรมเป็น ภยญาณและอาทีนวญาณ
แล้วปัญญาก็จะต้องอบรมเจริญขึ้นจนกว่าจะถึงนิพพิทาญาณ
ปัญญาจะต้องรู้แจ้งชัดจริงๆ โดยประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมไม่ใช่ว่าไม่รู้ลักษณะของนามธรรมแล้วจะเข้าประตูนิพพาน โดยเพียงรู้ท่านั่ง ท่านอน ท่ายืน ท่าเดิน ซึ่งเป็นการจำรูปที่เกิดรวมกันเป็นสัณฐานอาการต่างๆ ไม่ใช่การรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละลักษณะที่เกิดขึ้นปรากฏทางทวารต่างๆ แล้วก็ดับไป ตามปรกติตามความเป็นจริง