ลักษณะแท้ๆ ของรูปารมณ์ เป็นอย่างไร
ภิ. อาตมาอยากจะถามเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน อาตมาได้อ่านพระอภิธรรมปิฎกเล่ม ๒ ขันธวิภังค์ ในหมวดของรูป ๒๘ รูป มีรูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ รูปละเอียด รูปไกล เป็นต้น
อ. รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป และมีเพียงรูปเดียวเท่านั้นที่เห็นได้ คือรูปารมณ์ที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นรูปที่เห็นได้ (สนิทัสสนรูป) และกระทบได้ (สัปปฏิฆรูป) อีก ๑๑ รูป คือ เสียง ๑ กลิ่น ๑ รส ๑ โผฏฐัพพะ ๓ จักขุปสาทรูป ๑ โสตปสาทรูป ๑ ฆานปสาทรูป ๑ ชิวหาปสาทรูป ๑ กายปสาทรูป ๑ เป็นรูปที่กระทบได้แต่เห็นไม่ได้ รูป ๑๒ รูปที่กระทบได้นี้เป็นรูปหยาบ จึงเป็นรูปใกล้ต่อการพิจารณารู้ได้
ส่วนรูปอีก ๑๖ รูป ที่เหลือนั้นเห็นไม่ได้ และกระทบไม่ได้จึงเป็นรูปละเอียด และเป็นรูปไกลต่อการพิจารณารู้ได้
สภาพธรรมมีจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้นั้น ผู้อบรมเจริญสติปัฏฐานสามารถพิสูจน์รู้ลักษณะของสภาพธรรรมนั้นๆ ที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงได้ แต่ก็เป็นเรื่องละเอียดและลึกซึ้งมาก เช่น รูปารมณ์ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตานั้น เพียงได้ฟังเท่านี้ก็รู้สึกว่าจะเข้าใจได้ไม่ยากแต่ไม่ใช่ความรู้ในขณะกำลังเห็น ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐานจนปัญญาคมกล้า ก็จะไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะเห็นทางตานั้นมีรูปารมณ์แน่ๆ แต่ก็เห็นเป็นคน สัตว์ เป็นวัตถุต่างๆ จนกระทั่งเกิดความสงสัยว่า รูปารมณ์นั้นเป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไร
รูปารมณ์เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อลืมตาแล้ว เห็นโดยที่ยังไม่ได้นึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย นั่นแหละเป็นลักษณะแท้ๆ ของรูปารมณ์ ซึ่งปัญญาจะต้องเจริญจนเข้าใจ จนชินว่ารูปารมณ์ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนหรือวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น ลักษณะที่แท้จริงของรูปารมณ์เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ
ฉะนั้น เมื่อสติปัฏฐานยังไม่เกิดก็ยังไม่ระลึกศึกษาพิจารณาลักษณะของรูปารมณ์จริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา จึงละคลายการยึดถือสิ่งที่เคยเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุต่างๆ ไม่ได้เลย