ผู้ที่ปรารถนาดีที่สุด
ผมมีความคิดเห็นว่า พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ปรารถนาดีที่สุดต่อสัตว์โลก ทรงรู้ด้วยพระญาณหลังจากตรัสรู้แล้วว่า ผู้ใดพร้อมที่จะรับฟังพระธรรมและมีปัญญาสั่งสมมาที่จะเข้าใจและเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง นั่นคือเหตุผลที่ทรงเสด็จไปโปรดสัตว์โลกตลอด 45 พรรษา และเนื่องจากทรงรู้ว่ามีเวลาจำกัดก่อนที่จะอันตรธานหลังจุติจิต จึงมีความเพียรและความเมตตาอย่างหาที่สุดไม่ได้ในการแสดงธรรม
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้คนในยุคปัจจุบัน แม้ว่าท่านอาจารย์พยายามที่จะอธิบายความจริงที่ทรงตรัสรู้อันแสนยากลำบาก ซึ่งในขณะนั้นต้องมีความเมตตาและความเพียรเป็นอย่างมากที่จะอดทนต่อความไม่รู้ ที่เกิดจากโลภะ และโทสะที่สะสมมา ของผู้รับฟังธรรมทั้งหลาย
บางท่านเมื่อฟังแล้ว ก็ยังคัดค้านอยู่ในใจ บางท่านก็ออกมาทางวาจาในการโต้เถียง และไม่ยอมละมิจฉาทิฏฐิสักที อุปนิสัยสะสมในทางที่เห็นผิดนั้นช่างน่ากลัวจริงๆ ซึ่งก็บังคับบัญชาไม่ได้ จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยที่เพียงพอและเหมาะสมในการละคลายความเห็นผิดที่ฝังแน่นนั้น ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาดีที่สุดก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้ทรงปัญญาจริงๆ ที่มีเมตตาจิตในการสั่งสอนอบรมให้ผู้อื่นสะสมความเห็นถูก จนปัญญาเจริญขึ้นเรื่อยๆ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
ขออนุโมทนาเช่นกันครับ
เพราะถ้าไม่มีบุคคลผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาในสัตว์โลก ที่ทรงมีพระทัยมั่นที่จะบำเพ็ญพระบารมีนานถึงสี่อสงไขยกับอีกแสนกัป เพื่อที่จะได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สามารถประกาศพระศาสนาโปรดเวไนยสัตว์ได้ ทั้งๆ ที่พระองค์สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ตั้งแต่สมัยพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โดยไม่ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์อีกสี่อสงไขยแสนกัป
เมื่อทรงแสดงพระธรรมแล้ว ก็มีผู้ที่สะสมสาวกบารมีมาสามารถเข้าใจ และบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล และได้แสดงสัจจธรรมสืบต่อพระศาสนามาเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นหลังๆ ที่จะได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แต่อย่างไรก็ตามแล้วแต่อัธยาศัยของผู้ฟังที่สะสมมาว่าจะเห็นประโยชน์หรือไม่เพียงใด